แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 70
1
อาหารว่าง ที่ดีต่อสุขภาพช่องปากของเด็กที่กำลังจัดฟันเด็ก

การจัดฟันในเด็กหรือที่เรียกว่า Interceptive Orthodontics ทำให้การเลือกอาหารต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาหารบางชนิดอาจไปทำลายอุปกรณ์จัดฟัน และยังเป็นแหล่งสะสมของเศษอาหารที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ลองดูตัวเลือกอาหารว่างที่อร่อยและดีต่อสุขภาพช่องปากของเด็กๆ ที่กำลังจัดฟันกันค่ะ


อาหารว่างที่แนะนำ

อาหารว่างที่ดีควรมีเนื้อนุ่ม เคี้ยวง่าย และมีน้ำตาลน้อย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์จัดฟันและลดความเสี่ยงฟันผุ

ผลไม้เนื้อนุ่ม: เช่น กล้วย, มะละกอ, มะม่วงสุก, แตงโม, องุ่น (ควรหั่นครึ่งหรือหั่นชิ้นเล็กๆ เพื่อความปลอดภัย)

ผักต้มหรือนึ่ง: ผักที่มีเนื้อนิ่ม เช่น บรอกโคลีต้ม, แครอทนึ่ง, มันฝรั่งต้ม สามารถหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เด็กทานได้ง่าย

ผลิตภัณฑ์จากนม: โยเกิร์ต, ชีสอ่อนๆ (เช่น Cottage cheese), นมสด เพราะมีแคลเซียมสูงซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

โปรตีนเนื้อนุ่ม: เช่น ไข่ต้ม, ไข่คน, เนื้อปลา, อกไก่นึ่งหรือต้มที่ฉีกเป็นเส้นเล็กๆ

ของว่างอื่นๆ: พุดดิ้ง, เจลลี่, ซุป, สมูทตี้, ข้าวโอ๊ตต้ม หรือแพนเค้ก


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารเหล่านี้อาจทำให้อุปกรณ์จัดฟันเสียหายหรือทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย

อาหารแข็งและกรอบ: เช่น ถั่ว, ป๊อปคอร์น, ขนมปังกรอบ, น้ำแข็ง, แครอทดิบ

อาหารที่เหนียวและติดฟัน: เช่น หมากฝรั่ง, ลูกอมเคี้ยวหนึบ, คาราเมล, ทอฟฟี่

ผลไม้ทั้งลูกที่กัดยาก: เช่น แอปเปิล, ฝรั่ง, ข้าวโพด ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนให้เด็กทาน

อาหารที่มีน้ำตาลสูง: เช่น ขนมหวาน, น้ำอัดลม, น้ำผลไม้กล่อง เพราะน้ำตาลจะไปเกาะตามอุปกรณ์จัดฟันและเพิ่มโอกาสในการเกิดฟันผุ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการแปรงฟันและบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพื่อขจัดเศษอาหารที่อาจติดอยู่ตามเหล็กจัดฟันและซอกฟันค่ะ

2
หมอออนไลน์: บ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี

บ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี (Benign paroxysmal positional vertigo/BPPV*) ภาวะนี้หมายถึง อาการวิงเวียนแบบบ้านหมุนหรือสิ่งรอบตัวหมุนที่เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ ร่วมกับอาการตากระตุก (nystagmus) และเกิดขึ้นฉับพลันขณะมีการเปลี่ยนท่าหรือเคลื่อนไหวศีรษะ ภาวะนี้จัดเป็นสาเหตุของอาการบ้านหมุน (vertigo) ที่พบได้บ่อยที่สุด จะพบได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น จึงพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และพบได้น้อยในคนอายุต่ำกว่า 35 ปี

*มีชื่อเรียกอื่น ได้แก่ "Benign positional vertigo", "Positional vertigo", "โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน", "โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด"

สาเหตุ

เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหูชั้นในส่วนลาบิรินท์ (labyrinth) ที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวประกอบด้วยหลอดกึ่งวง 3 อัน (ด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง) ซึ่งภายในมีของเหลวและเซลล์ประสาทบรรจุอยู่ หลอดกึ่งวงทั้ง 3 อันนี้มีช่องเชื่อมต่อกับกระเปาะที่เรียกว่า "ยูทริเคิล (utricle)" และ "แซกคูล (saccule)" ในคนปกติจะมีผลึกหินปูนเกาะอยู่ในยูทริเคิลและแซกคูล ทำหน้าที่ช่วยในการรับรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถ้าหากมีผลึกหินปูนจำนวนมากหลุดออกมาจากส่วนนี้ เข้าไปลอยอยู่ในของเหลวภายในหลอดกึ่งวง ก็จะเกิดการรบกวนเซลล์ประสาทภายในหลอดกึ่งวง ทำให้เกิดอาการบ้านหมุนอย่างรุนแรง

     ผลึกหินปูนดังกล่าวสามารถหลุดลอยเข้าไปในหลอดกึ่งวงได้ทุกอัน แต่จะเข้าไปในหลอดกึ่งวงด้านหลัง (posterior semicircular canal) เป็นส่วนใหญ่ ผลึกหินปูนที่ลอยอยู่ในหลอดกึ่งวง มีชื่อเรียกว่า "Canalith"

     สาเหตุของการเกิดภาวะนี้ในผู้ป่วยอายุมาก มักเกิดจากความเสื่อมของอวัยวะการทรงตัวภายในหูชั้นใน ส่วนผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 50 ปี มักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือเป็นผลที่เกิดตามหลังการผ่าตัดหู และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

     ภาวะนี้อาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ไมเกรน โรคเมเนียส์ หูชั้นกลางอักเสบ โรคทางสมอง เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุนหรือสิ่งรอบตัวหมุนอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันทีขณะเปลี่ยนท่าหรือเคลื่อนไหวศีรษะในท่าที่เฉพาะบางท่าเท่านั้น ที่พบบ่อยคือ ท่าลุกขึ้นจากเตียงนอน หรือท่านอนพลิกตะแคงตัว บางรายก็อาจเป็นขณะล้มตัวลงนอน ก้มศีรษะ (ก้มหาของ กวาดบ้าน กราบพระ) หรือเงยศีรษะ (เงยมองขึ้นข้างบนหาของ สอยผลไม้ นอนบนเตียงทำฟัน นอนบนเตียงสระผม)

อาการบ้านหมุนแต่ละครั้งจะเป็นอยู่ประมาณ 20-30 วินาที (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 นาที) และอาจกำเริบใหม่เมื่อเคลื่อนไหวศีรษะในท่านั้นอีก แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวศีรษะในท่านั้น ก็จะรู้สึกสบายเป็นปกติ สามารถเดินไปมาได้และทำงานได้


ขณะมีอาการบ้านหมุนผู้ป่วยมักมีอาการตากระตุกร่วมด้วย

     ในรายที่เป็นมาก แม้แต่การเคลื่อนไหวศีรษะเพียงเล็กน้อย ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการบ้านหมุน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

     บางรายหลังจากหายเวียนศีรษะแล้ว ยังอาจมีอาการคลื่นไส้หรือรู้สึกโคลงเคลงนานหลายนาทีถึงหลายชั่วโมง

     ผู้ป่วยจะไม่มีอาการหูอื้อ หูตึง หรือแว่วเสียงดังในหูร่วมด้วย (ถ้ามี มักเกิดจากโรคของหูชั้นในแบบอื่น ๆ)

     อาการของโรคนี้กำเริบเป็นครั้งคราว แต่ละครั้งอาจมีอาการอยู่นานหลายวัน หรือเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วก็หายไปได้เอง พอเว้นได้ระยะหนึ่ง อาจเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนแรมปี อาการก็อาจหวนกลับมาเป็นใหม่ได้อีก


ภาวะแทรกซ้อน

นอกจากความรู้สึกกลัวหรือทรมานขณะมีอาการบ้านหมุนกำเริบแล้ว โรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงใด ๆ ยกเว้นในผู้สูงอายุมาก ๆ หรือผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือมีโรคทางหูร่วมด้วย อาจเกิดการหกล้มกระดูกหักได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การทดสอบดิกซ์ฮอลล์ไพก์ (Dix-Hallpike test) จะพบอาการตากระตุกร่วมกับอาการบ้านหมุน

ถ้าสงสัยเป็นโรคทางสมองหรือมีความผิดปกติทางหู แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน เป็นต้น

จัดให้ผู้ป่วยนั่งบนเตียงตรวจ แล้วให้ผู้ป่วยนอนหงายลงบนเตียงตามแนวยาวของเตียง ให้ศีรษะผู้ป่วยห้อยลงจากขอบเตียงโดยมีมือผู้ป่วยพยุงไว้ ให้ศีรษะหงายไปข้างหลัง (ทำมุม 30 องศากับขอบเตียง) ผู้ตรวจจับศีรษะผู้ป่วยหันไปข้างขวา 45 องศา สังเกตดูว่าผู้ป่วยเกิดอาการบ้านหมุนและมีอาการตากระตุกหรือไม่ ถ้าไม่พบให้จับศีรษะหันไปข้างซ้าย 45 องศา แล้วสังเกตดูอาการในทำนองเดียวกัน


การรักษาโดยแพทย์

1. ถ้าอาการไม่มาก เป็นวันละไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งมีอาการอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ (20-30 วินาที) และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการที่เป็นและแนะนำให้รู้จักการดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ หรือโคลงเคลงมาก แพทย์จะให้กินยาบรรเทาอาการ เช่น ไดเมนไฮดริเนต (ย 19.1) บีตาฮีสตีน (betahistine) เป็นต้น

บางกรณีแพทย์จะทำการรักษาด้วยท่าบริหารศีรษะที่เรียกว่า "Epley maneuver" (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Canalith repositioning maneuver") ซึ่งเป็นการทำให้ผลึกหินปูนในหลอดกึ่งวง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดกึ่งวงด้านหลัง) ไหลกลับเข้าไปที่กระเปาะยูทริเคิล วิธีนี้ทำเพียงครั้งเดียว ช่วยให้อาการหายได้ทันทีถึงร้อยละ 80 รายที่ไม่หายอาจต้องทำซ้ำ

ในรายที่ทำวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือทนต่อผลข้างเคียง (บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน) ไม่ได้ หรือมีข้อห้ามทำ แพทย์จะสอนให้ผู้ป่วยทำท่าบริหารที่เรียกว่า "Brandt-Daroff exercise" โดยให้ทำเองที่บ้านทุกวัน วันละ 3 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่จะทุเลาเมื่อทำไปได้ 10 วัน) ในรายที่กำเริบบ่อย แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยทำท่าบริหารต่อเนื่องทุกวัน

2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการบ้านหมุนหรืออาเจียนมาก มีอาการหูอื้อ หูตึง หรือแว่วเสียงดังในหู เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก ตาเห็นภาพซ้อน หรือสงสัยมีความผิดปกติรุนแรงอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ้าสงสัยโรคทางสมอง อาจต้องตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าสงสัยความผิดปกติทางหู อาจต้องตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน (audiogram) ตรวจคลื่นไฟฟ้าเกี่ยวกับอาการตากระตุก (electronystagmography/ENG) ทดสอบบนเก้าอี้หมุน (rotatory chair test) เป็นต้น และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง มักทุเลาไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ การรักษาด้วยท่าบริหารศีรษะแบบ "Epley maneuver" มักช่วยให้โรคทุเลาไปได้เร็ว มีน้อยรายมากที่การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล และมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 1 ปี บางกรณีอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งได้ผลประมาณร้อยละ 90


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ขณะมีอาการกำเริบ ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนท่ามานั่งคอตรง ๆ หรือนอนหงายศีรษะตรงทันที
    ป้องกันไม่ให้อาการกำเริบซ้ำโดยการนอนหนุนหมอนอย่างน้อย 2 ใบ อย่านอนตะแคงข้างที่มีอาการ เวลาลุกจากเตียงนอนให้ลุกอย่างช้า ๆ และนั่งอยู่ขอบเตียงสักครู่ก่อนจะยืนขึ้น อย่าก้มศีรษะต่ำหรือเงยมองขึ้นข้างบน หลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ การสะบัดผมหรือสะบัดคอเร็ว ๆ รวมทั้งท่าอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ
    หลีกเลี่ยงการขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
    ถ้าตื่นลุกเข้าห้องน้ำตอนกลางดึก ควรเปิดไฟในห้องให้สว่าง
    ถ้ามีอาการวิงเวียน หรือรู้สึกโคลงเคลงมาก เวลาเดินควรใช้ไม้เท้าช่วยป้องกันไม่ให้หกล้ม

     
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1 สัปดาห์ 
    มีอาการบ้านหมุนต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมง ๆ อาเจียนมาก กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ
    มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดหู หูน้ำหนวกไหล หูอื้อ หูตึง หรือแว่วเสียงดังในหู เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก หรือตาเห็นภาพซ้อน
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล
ในช่วงที่มีอาการบ้านหมุนกำเริบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และระวังอย่าให้หกล้มได้รับบาดเจ็บ


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้แม้ว่าจะมีอาการบ้านหมุนรุนแรง จนผู้ป่วยบางคนรู้สึกตกใจกลัว และอาจเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อยจนน่ารำคาญ แต่จัดเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายเป็นส่วนใหญ่ ผู้ป่วยควรสังเกตว่าท่าใดที่ทำให้อาการกำเริบ แล้วหาทางหลีกเลี่ยงไม่ทำท่านั้น ก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ

2. เนื่องจากโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ จึงควรแยกออกจากอาการบ้านหมุนจากภาวะหลอดเลือดตีบในสมอง ซึ่งมักมีอาการติดต่อกันนาน ๆ และอาจมีอาการผิดปกติทางสมอง (เช่น ตาเห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง) ร่วมด้วย ส่วนอาการบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่ามักจะมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันขณะเปลี่ยนท่าเฉพาะบางท่า และเป็นอยู่เพียง 20-30 วินาที อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน โคลงเคลงร่วมด้วย โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติทางสมอง ส่วนใหญ่เมื่อหายจากอาการบ้านหมุนแล้ว ผู้ป่วยมักจะรู้สึกสบายดี อย่างไรก็ตาม ถ้าแยกแยะโรคไม่ได้ชัดเจน หรือผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองตีบ (เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด

3. อาการบ้านหมุนมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นใน ซึ่งอาจมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน หากมีอาการมากและครั้งละนานหลายนาทีถึงเป็นชั่วโมง ๆ หรือมีอาการอาเจียนมาก หรือมีอาการหูตึงและมีเสียงดังในหู มักจะไม่ใช่มีสาเหตุจากโรคบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี และควรรีบไปพบแพทย์ อาจเกิดจากโรคเมเนียส์ หูชั้นในอักเสบ หรือเนื้องอกประสาทหูได้

3
โรคโคโรนาไวรัส (COVID-19): อาการและการรักษา

โรคโคโรนาไวรัส หรือ COVID-19 คือโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะดีขึ้นมาก แต่การรู้เท่าทันอาการและวิธีรักษาจะช่วยให้คุณรับมือกับโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม

อาการของโรคโควิด-19

อาการของผู้ป่วยโควิด-19 มีหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตั้งแต่ไม่มีอาการเลยไปจนถึงอาการรุนแรง โดยอาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไข้และหนาวสั่น: เป็นอาการเริ่มต้นที่พบได้บ่อย โดยอาจมีไข้ต่ำๆ ไปจนถึงไข้สูง

ไอและเจ็บคอ: อาจเป็นไอแห้งหรือไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย

อ่อนเพลียและปวดเมื่อย: รู้สึกไม่มีแรงและปวดกล้ามเนื้อ

จมูกไม่ได้กลิ่นและลิ้นไม่รับรส: อาการนี้เป็นเอกลักษณ์ที่พบบ่อยในผู้ป่วย

หายใจหอบเหนื่อย: เป็นอาการที่บ่งชี้ว่าอาการเริ่มรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์ทันที

อาการอื่นๆ: เช่น คัดจมูก, มีน้ำมูก, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, หรือท้องเสีย


แนวทางการรักษา

แนวทางการรักษาโรคโควิด-19 ได้มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะเน้นการรักษาตามอาการ และพิจารณาให้ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหรือมีความเสี่ยงสูง


1. การรักษาสำหรับผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง (Home Isolation)

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย สามารถรักษาตัวที่บ้านได้ โดยเน้นการดูแลตัวเองดังนี้:

แยกกักตัว: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ควรแยกห้องนอนและห้องน้ำจากผู้อื่น

พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ: เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว

รักษาตามอาการ: หากมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ (พาราเซตามอล) หากมีอาการไอหรือเจ็บคอให้ใช้ยาแก้ไอและยาอม

พิจารณาการใช้ยาต้านไวรัส: แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) หรือแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง


2. การรักษาสำหรับผู้ป่วยอาการรุนแรง

หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก, หอบเหนื่อย, หรือมีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสแบบฉีดเข้าเส้นเลือด และอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหากอาการรุนแรงมาก

สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตอาการตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการที่เข้าข่ายหรืออาการแย่ลง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมค่ะ

4
จัดฟันบางนา: การทำฟันปลอม แบบสะพานฟัน ไม่ยุ่งยากใช้งานได้รวดเร็ว

ฟันปลอม หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ฟันเทียม คือหนึ่งในนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ฟันปลอมมีการพัฒนาออกมาอย่างรวดเร็วและหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหลายๆท่านที่สูญเสียฟันจริงตามธรรมชาติไปนั้น หลีกหนีไม่ได้เลยที่ต้องมาทำฟันปลอม แต่ฟันปลอมแบบไหนที่ดีที่สุด ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านผู้ใช้ ว่ามีพฤติกรรม การดำเนินชีวิต ในรูปแบบไหนนั่นเอง

ซึ่งเชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะรู้จักกับการทำฟันปลอม แบบสะพานฟันกันมาบ้างไม่มากก็น้อย อาจจะรู้ถึงข้อดีและข้อเสียต่างๆ แต่อาจจะยังไม่ทราบว่าการรักษานั้นต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือ การทำสะพานฟันนั้นมีวิธีรวมถึงขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ในวันนี้จะขอมาไขข้อสงสัยถึงวิธีขั้นตอนการทำสะพานฟันให้ท่านผู้อ่านได้ทราบอย่างละเอียด โดยมีเนื้อหาใจความดังต่อไปนี้


สะพานฟัน คืออะไร ?

สะพานฟันถือว่าเป็นการทำฟันปลอมแบบติดแน่นรูปแบบหนึ่ง ที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลาย โดยสะพานฟันนั้นจะต้องทำการอาศัยฟันจริงรอบข้างเป็นส่วนช่วยเหลือในการยึดติด โดยเมื่อทำสะพานฟันท่านจะไม่สามารถถอดหรือใส่เองได้ ต้องให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้เท่านั้น การทำสะพานฟันจะสามารถทำได้ในกรณีที่ฟันที่ถูกถอนออกยังมีฟันตามธรรมชาติรอบข้างที่แข็งแรงพอจะยึดติดสะพานฟันได้ ซึ่งสะพานฟันจะมีความคล้ายกับฟันตามธรรมชาติ เพื่อให้ท่านกลับมามีรอยยิ้มที่สดใสอีกครั้งหนึ่ง


ขั้นตอนหารทำสะพานฟันแบบทั่วไป ?

– ปรึกษาทันตแพทย์

ต้องขอบอกเลยว่าการทำสะพานฟัน จำเป็นจะต้องวานแผนในการรักษาอย่างละเอียด และแม่นยำ โดยจะต้องเลือกสีของฟัน และระยะเวลาในการรักษาอย่างรอบครอบ ซึ่งควรเข้าปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบเฉพาะทางก่อนที่จะเริ่มทำ และควรเลือกสถานที่ ที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์เป็นสำคัญอีกด้วย

– การเตรียมฟัน

เมื่อทางด้านทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้วางแผนต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้ก็ถือได้ว่าละเอียดและสำคัญ เพราะ ท่านจะต้องถูกกรอเนื้อฟันมากน้อยตามแต่ลักษณะรูปแบบของสะพานฟันในแต่ละประเภท เพื่อไว้ให้เป็นที่ยึดติดสะพานฟันรอบฟันที่สูญเสียไป ที่จำเป็นต้องกรอฟันก็เพื่อให้ฟันรอบข้างเล็กและสั้นลง จะได้สวมใส่สะพานฟันได้นั่นเอง

– พิมพ์ปาก

เมื่อกรอฟันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากในส่วนที่จะทำสะพานฟัน แล้วส่งไปให้กับทางช่างทันตกรรม เพื่อทำการผลิตสะพานฟัน เพื่อให้เหมาะสมกับช่องปากและฟันของผู้ที่เข้ารับรักษา ซึ่งจะใช้เวลาในการผลิตประมาณ 7 – 10 วัน ในระหว่างที่รอสะพานฟันนั้น ทันตแพทย์จะใส่สะพานฟันแบบชั่วคราวไว้ให้ก่อนเพื่อให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะมีความบอบบางมากกว่าของจริง

– ใส่สะพานฟันตัวจริง

เมื่อได้สะพานฟันตัวจริงที่ถูกผลิตออกมาโดยตรงจากห้องแลปทันตกรรม ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการนัดผู้ป่วยเพื่อถอดสะพานฟันชั่วคราวออก และใส่สะพานฟันตัวจริงทดแทน ซึ่งในขณะใส่สะพานฟันตัวจริง ทันแพทย์จะทำให้ใส่อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยสะพานฟันตัวจริงนี้จะมีความคงทนแข็งแรง และเป็นธรรมชาติมากกว่าสะพานฟันชั่วคราว

– ตรวจเช็คหลังการใช้งาน

เมื่อทำการใส่สะพานฟันตัวจริงเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนัดหมายผู้ป่วยให้มาตรวจสอบสะพานฟันหลังจากที่ใส่ไปแล้วประมาณ 7 – 10 วัน เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงนี้หากว่าผู้ที่ใส่สะพานฟันมีความผิดปกติอย่างไรบ้าง ให้เก็บข้อมูลเบื้องต้นไว้ด้วย เพื่อไปบอกทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในวันที่นัดตรวจสอบ เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ทำการแก้ไขอย่างละเอียดและตรงจุดนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือกระบวนการใส่สะพานฟัน ที่ไม่ได้มีความยุ่งยากแต่อย่างใด แต่เมื่อท่านได้ใส่สะพานฟันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างลืมเด็ดขาดคือ ดูแลสุขภาพช่องปากและอุปกรณ์สะพานฟันให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงอย่างอื่นตามมา และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ การตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หรือ 6 เดือนต่อหนึ่งครั้ง เพียงเท่านี้ท่านก็จะมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง

5
15 วัดสวย นครนายก ที่เที่ยววัดใกล้กรุงเทพ ไปไหว้พระ เสริมดวงกัน!

จังหวัดนครนายกมีวัดสวยงามและศักดิ์สิทธิ์มากมาย ซึ่งเหมาะสำหรับสายบุญที่ต้องการเดินทางไปไหว้พระเสริมดวงแบบเช้าไปเย็นกลับ นี่คือ 15 วัดสวยในนครนายกที่คุณไม่ควรพลาดค่ะ

วัดจุฬาภรณ์วนาราม: วัดที่โดดเด่นด้วยต้นไม้และภูเขาที่เขียวขจี มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่และเจดีย์ที่สวยงาม

วัดสีชมพู หรือ วัดบางมะกง: มีอุโบสถสีชมพูที่สวยงามมาก เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยม

วัดคีรีวัน: มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ริมภูเขา และมีเจดีย์ที่สวยงาม

วัดมณีวงศ์: มีอุโบสถสีขาวและสีทองที่วิจิตรงดงาม และมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยให้กราบไหว้

วัดเขาแก้ว (วัดเขาโพธิ์แก้ว): ตั้งอยู่บนเนินเขา มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ และสามารถชมวิวทิวทัศน์รอบๆ วัดได้อย่างสวยงาม

วัดโพธิ์งาม: วัดเก่าแก่ที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ และมีต้นโพธิ์อายุกว่าร้อยปีที่สวยงาม

วัดทองย้อย: มีวิหารที่สวยงามและมีพระพุทธรูปปางสมาธิให้กราบไหว้

วัดถ้ำสาริกา: วัดที่ตั้งอยู่ในถ้ำสวยงามตามธรรมชาติ มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้

วัดกุฎีเตี้ย: มีพระพุทธรูปเก่าแก่และมีอุโบสถที่สวยงาม

วัดคีรีวัน: วัดที่ตั้งอยู่บนเขา มีเจดีย์และพระพุทธรูปที่สวยงาม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบๆ วัดได้อย่างกว้างไกล

วัดธรรมสถิต: มีพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินอ่อนที่สวยงาม และมีบรรยากาศที่เงียบสงบ

วัดป่าศรีถาวรนิมิต: เป็นวัดป่าที่มีความร่มรื่นและเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรม

วัดพระฉาย: มีพระพุทธรูปโบราณและรอยพระพุทธบาทจำลองที่สวยงาม

วัดศรีสุวรรณ: มีเจดีย์ที่สวยงามและพระพุทธรูปที่สำคัญ

วัดนางรอง: วัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนาน มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้

6
วิธีหาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้จากการขายอาหารบน GrabFood เป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยม

ด้วยการเติบโตของบริการจัดส่งอาหาร การขายอาหารบน GrabFood จึงกลายเป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับร้านอาหารและธุรกิจอาหารที่บ้านในการสร้างรายได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเชฟมืออาชีพ เจ้าของร้านอาหารเล็กๆหรือคนที่หลงใหลในการทำอาหาร GrabFood มอบโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นโดยไม่ต้องมีหน้าร้านจริง นี่คือคำแนะนำทีละขั้นตอนในการเริ่มต้นและเพิ่มความสำเร็จของคุณให้สูงสุด

การสร้างรายได้จากการขายอาหารบนแกร็บฟู้ดเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมหรือสร้างธุรกิจร้านอาหารของตนเอง

1. ทำความเข้าใจ GrabFood และประโยชน์ของมัน
GrabFood เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับจัดส่งอาหารซึ่งเชื่อมโยงลูกค้ากับร้านอาหารและผู้ขายอาหารที่บ้าน ประโยชน์บางประการของการขายบน GrabFood ได้แก่:
✅ เพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงลูกค้า
✅ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่รับประทานอาหารในร้าน
✅ เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
✅ โซลูชันการชำระเงินดิจิทัลสำหรับธุรกรรมที่ง่ายดาย

2. ลงทะเบียนธุรกิจของคุณบน GrabFood
หากต้องการเริ่มขายของ คุณต้องลงทะเบียนเป็นผู้ค้าบน GrabFood ก่อน โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
ลงทะเบียนบน GrabMerchant – เข้าไปที่เว็บไซต์ GrabMerchant และกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
ส่งเอกสารที่จำเป็นซึ่งอาจรวมถึงการจดทะเบียนธุรกิจ การระบุตัวตนผู้เสียภาษี และใบอนุญาตความปลอดภัยทางอาหาร
ตั้งค่าเมนูของคุณ – อัปโหลดรูปภาพคุณภาพสูง คำอธิบาย และราคาของอาหารของคุณ
เปิดใช้งานบัญชีของคุณ – เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว คุณสามารถเริ่มรับคำสั่งซื้อได้

3. สร้างเมนูที่น่าสนใจและสร้างกำไร
เมนูของคุณมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้า นี่คือวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ:
✔ ใส่รูปภาพที่มีคุณภาพสูง – ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อมากขึ้นหากอาหารดูน่ารับประทาน
✔ เสนอความหลากหลาย – มีขนาดส่วนและชุดอาหารที่แตกต่างกัน
✔ กำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้ – ค้นคว้าคู่แข่งของคุณและตั้งราคาตามนั้น
✔ เน้นสินค้าขายดี – นำเสนอเมนูที่ได้รับความนิยมเพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น

4. เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจของคุณเพื่อเพิ่มยอดขาย
หากต้องการเพิ่มรายได้ ให้พิจารณาใช้กลยุทธ์เหล่านี้:
🔹 เสนอโปรโมชั่น – ใช้เครื่องมือส่งเสริมการขายของ GrabFood เช่น ส่วนลดและข้อเสนอแบบรวม
🔹 รับประกันเวลาเตรียมอาหารที่รวดเร็ว – การบริการที่รวดเร็วทำให้ลูกค้ามีรีวิวที่ดีขึ้น
🔹 ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์อาหาร – ใช้ภาชนะที่ป้องกันการรั่วซึมและเก็บความร้อนได้เพื่อรักษาคุณภาพ
🔹 กระตุ้นให้มีการรีวิว – คำติชมเชิงบวกจากลูกค้าจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ซื้อได้มากขึ้น

5. จัดการต้นทุนและเพิ่มผลกำไร
การดำเนินธุรกิจจัดส่งอาหารเกี่ยวข้องกับต้นทุนต่างๆ เช่น ส่วนผสม บรรจุภัณฑ์ และค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม นี่คือวิธีจัดการค่าใช้จ่าย:
💡 ซื้อส่วนผสมเป็นจำนวนมาก – ลดต้นทุนต่อหน่วย
💡 ลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด – วางแผนสินค้าคงคลังอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการเน่าเสียของอาหาร
💡 กำหนดราคาที่มีกำไร – คำนึงถึงต้นทุนทั้งหมดก่อนกำหนดราคา

6. ส่งเสริมธุรกิจของคุณ
นอกจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มของ GrabFood แล้ว คุณยังควรทำการตลาดธุรกิจของคุณผ่าน:
📌 โซเชียลมีเดีย – ใช้ Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อแสดงอาหารของคุณ
📌 โฆษณาออนไลน์ – ลงทุนในโฆษณาแบบชำระเงินเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น
📌 โปรแกรมความภักดี – เสนอส่วนลดให้กับลูกค้าที่กลับมาใช้บริการอีกครั้ง

7. ติดตามประสิทธิภาพการทำงานและปรับปรุง
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ GrabFood เพื่อติดตามยอดขาย ความต้องการของลูกค้า และประสิทธิภาพการทำงาน ปรับเปลี่ยนเมนู ราคา และโปรโมชั่นตามข้อมูลเพื่อปรับปรุงธุรกิจของคุณอย่างต่อเนื่อง

การขายอาหารบน GrabFood ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหาร เพียงทำตามขั้นตอนเหล่านี้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง เพิ่มประสิทธิภาพเมนูของคุณ จัดการต้นทุน และโปรโมตอย่างมีประสิทธิภาพ คุณก็สามารถสร้างธุรกิจอาหารออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จได้ เริ่มเลยวันนี้และก้าวเข้าสู่ตลาดการจัดส่งอาหารที่กำลังเติบโต


7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ (Spinal cord injury)

การบาดเจ็บที่บริเวณคอหรือหลัง อาจทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นเหตุให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขาทั้ง 4 ข้าง (quadriplegia) หรือขา 2 ข้าง (paraplegia) ส่วนใหญ่พบเป็นภาวะแทรกซ้อนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง มักพบในผู้ชายอายุ 15-35 ปี

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรง ได้แก่ รถชน รถคว่ำ ตกจากที่สูง ถูกของหนักหล่นทับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการถูกยิง ถูกแทงเข้าไขสันหลัง ทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ฟกช้ำ เลือดออกหรือฉีกขาด ทำให้เกิดอาการอัมพาตของแขนขา 2 ข้างทันที


อาการ

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับเอว ขาทั้ง 2 ข้างมักจะชา กระดุกกระดิกไม่ได้ ถ่ายปัสสาวะและอุจจาระเองไม่ได้ อวัยวะเพศทำงานไม่ได้ เช่น องคชาตไม่แข็งตัว

ถ้าบาดเจ็บตรงระดับคอ จะมีอาการอัมพาตของแขนทั้ง 2 ข้างร่วมกับขาทั้ง 2 ข้าง และถ้ากระทบกระเทือนถูกส่วนที่ควบคุมการหายใจ ผู้ป่วยจะหายใจไม่ได้ และถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีความรู้สึกตัวดีเหมือนคนปกติ


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตนาน ๆ อาจมีแผลกดทับ (bed sores) หรืออาจเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ) ได้ง่าย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบขา 2 ข้าง หรือแขนขาทั้ง 4 ข้างเป็นอัมพาตและชา (ไม่รู้สึกเจ็บเวลาถูกเข็มจิ้ม)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์กระดูกสันหลัง ถ่ายภาพไขสันหลังด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพรังสีไขสันหลังโดยการฉีดสารทึบรังสี (myelography) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ถ้ากินอาหารไม่ได้ ให้น้ำเกลือ หรือให้อาหารทางสายยางหรือทางหลอดเลือดดำ, ถ้าหายใจไม่ได้ ใช้เครื่องช่วยหายใจ, ถ้าปัสสาวะไม่ได้ ใส่สายสวนปัสสาวะ เป็นต้น

แพทย์จะให้สเตียรอยด์ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อลดอาการบวม ช่วยให้ฟื้นตัวดีขึ้น ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องให้ภายใน 8 ชั่วโมงหลังบาดเจ็บ และให้ติดต่อกันนาน 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ จะทำการรักษาโดยใช้น้ำหนักดึงถ่วง (traction) ให้ข้อกระดูกที่เคลื่อนเข้าที่ หรือป้องกันไม่ให้ข้อกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือกดทับไขสันหลัง บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดสันหลัง เพื่อแก้ไขความผิดปกติและทำการเชื่อมต่อข้อกระดูกสันหลัง

ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลอยู่นาน หลังจากนั้นแพทย์จะทำการฟื้นฟูสภาพด้วยกายภาพบำบัด และใช้อุปกรณ์หรือรถเข็นช่วยในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บไม่มาก ก็มีโอกาสฟื้นคืนความแข็งแรงได้ โดยสังเกตว่า ถ้าผู้ป่วยสามารถขยับแขนขาและมีความรู้สึกเจ็บกลับคืนมาภายใน 1 สัปดาห์ก็อาจมีทางหายได้

แต่ถ้าประสาทไขสันหลังถูกทำลาย อาการอัมพาตก็มักจะเป็นอย่างถาวร โดยที่อาการจะไม่ดีขึ้นเลยภายหลังบาดเจ็บ 6 เดือนไปแล้ว

ในรายที่มีการบาดเจ็บตรงคอ ซึ่งมีอาการอัมพาตหมดทั้งแขนขา 4 ข้าง และไม่สามารถหายใจได้เอง หากเป็นอัมพาตอย่างถาวร ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประทังชีวิต ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง และมักเสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ) แทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

หากได้รับบาดเจ็บรุนแรงตรงบริเวณคอหรือหลัง ควรทำการปฐมพยาบาลและรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ฝึกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/นักกายภาพบำบัด
    ในกรณีที่นอนติดเตียง ควรใช้ที่นอนที่ลดแรงกดทับ (เช่น ที่นอนน้ำ ที่นอนลม) และผู้ดูแลควรทำการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ
    ระมัดระวังในการป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย อย่าให้สำลัก
    ถ้ามีสายสวนปัสสาวะ หรือสายป้อนอาหาร (ที่ใส่ผ่านจมูกเข้าไปที่กระเพาะอาหาร) ควรดูแลให้สะอาดปลอดภัยตามตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หนาวสั่น ท้องเดิน หรืออาเจียน
    ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หรือหายใจหอบหรือลำบาก
    กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มีแผลกดทับเกิดขึ้น
    ยาหายหรือขาดยา
    มีอาการสงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม เหนื่อยหอบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การปฐมพยาบาลสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่คอและหลัง

1. ถ้าผู้ป่วยหายใจไม่ได้เนื่องจากไขสันหลังส่วนคอได้รับบาดเจ็บ ให้ทำการผายปอดด้วยการเป่าปากจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล

2. ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ควรกระทำดังนี้

    ห้ามยก แบก หรือหามผู้ป่วยโดยตรง อาจทำให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้น
    พยายามให้ผู้ป่วยนอนราบ ให้ศีรษะ คอ และลำตัว ตั้งอยู่ในแนวตรงกันเสมอ ถ้าจำเป็นต้องขยับตัวผู้ป่วยให้ใช้ผู้ช่วยอย่างน้อย 3 คน ขยับศีรษะ คอ ลำตัวไปพร้อม ๆ กัน โดยพยายามให้ทุกส่วนอยู่ในแนวที่ตรงกัน (อย่าให้บิดเบี้ยว)
    เคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยนอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง ๆ (เช่น โต๊ะ บานประตู) พันตัวผู้ป่วยไว้กับแผ่นกระดาน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ป่วยพลิกตัว
    ถ้าสงสัยกระดูกต้นคอหัก ควรใช้กระดาษแข็ง หนังสือพิมพ์ หรือผ้าพับม้วนเป็นทบแล้วสอดเข้าใต้คอผู้ป่วย ทำเป็นปลอกคอใส่ไว้ เพื่อป้องกันมิให้คอขยับเขยื้อนเกิดอันตรายได้ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยให้นอนหงายบนแผ่นกระดานแข็ง และวางถุงทรายหรืออิฐขนาบระหว่างคอผู้ป่วยเพื่อมิให้ผู้ป่วยเอี้ยวหรือบิดคอ


การป้องกัน

การป้องกันไม่ให้ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่สำคัญก็คือ การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุจราจร และการตกจากที่สูง


ข้อแนะนำ

1. เมื่อพบผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บตรงบริเวณคอหรือหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงสัยอาจมีกระดูกคอหรือกระดูกหลังหัก หรือไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน ควรระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันมิให้ไขสันหลังได้รับอันตรายมากขึ้น

2. ผู้ป่วยไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ มักได้รับการรักษาจนปลอดภัย แต่อาจมีความพิการ เดินไม่ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักมีความรู้สึกท้อแท้ ซึมเศร้า ควรให้การดูแลปัญหาด้านจิตใจควบคู่กับด้านร่างกายพร้อม ๆ กันไป หาทางปลอบขวัญและให้กำลังใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พบปะแลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้ป่วยแบบเดียวกัน (กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน) เพื่อให้การช่วยเหลือและส่งเสริมกำลังใจซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังมีสติปัญญา และมือ 2 ข้างเป็นปกติดี สามารถนั่งรถเข็นหรือขับรถเดินทางไปไหนมาไหน ทำงานด้วยมือ 2 ข้าง มีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้

8
เคล็ดลับการเลือก รถกระบะรับจ้าง รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ทำอย่างไรให้ราคาไม่แพงและบริการดี?

เคล็ดลับการเลือก รถรับจ้างขนย้ายบ้าน แบบไหนถึงจะคุ้มเรา?

การเลือก รถรับจ้างขนย้ายบ้าน ในกระบวนการย้ายบ้านหรือขนของทั่วไปเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่มีผลต่อประสบการณ์ทั้งหมดของคุณ โดยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาในบทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและสอดคล้องกับความต้องการของคุณ:

การเลือกรถรับจ้างขนย้ายบ้าน: ทำอย่างไรให้ราคาไม่แพงและบริการดี?

1. วิเคราะห์ความต้องการของคุณ:

เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับปริมาณของของที่คุณต้องการย้าย และระยะทางที่จะเดินทาง นี้จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดความจุที่เหมาะสมของรถรับจ้างที่คุณต้องการ. ว่าจะเลือกรถรับจ้างขนของแบบไหน จะ รถกระบะรับจ้าง หรือ รถ4ล้อรับจ้าง หรือ รถหกล้อรับจ้างขนย้ายบ้าน เป็นต้น


2. เปรียบเทียบราคา:

เปรียบเทียบราคาระหว่างบริษัทรถรับจ้างที่มีในพื้นที่ของคุณ อย่าลืมให้ขอใบเสนอราคาและความสามารถในการตกลงราคาเพิ่มเติมให้ได้ราคาที่เหมาะสม


3. ความน่าเชื่อถือของบริษัท:

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อถือและความซื่อสัตย์ของบริษัทรับจ้าง ดูรีวิวจากลูกค้าก่อนหน้าและแนะนำจากคนที่คุณรู้จักรวมถึงประสบการณ์ในการ ขนย้ายบ้าน


4. ความสามารถในการจัดการกับของ:

ตรวจสอบว่าบริษัทมีความสามารถในการจัดการกับประเภทของของที่คุณมี เช่น ของที่มีขนาดใหญ่,ตู้เสื้อผ้า ทีวี ตู้เย็น เฟอร์นิเจอร์ หรือวัตถุที่บอกเลยว่าอยู่ในประเภทของ "พิเศษ." ต้องปลอดภัย


5. สอบถามเรื่องประกัน:

ถามเรื่องประกันที่บริษัทรับจ้างมี มีการคุ้มครองทั้งที่เกี่ยวกับความคุ้มครองของของและความปลอดภัยขณะขนย้ายหรือไม่.


6. ตรวจสอบเอกสาร:

ก่อนที่คุณจะตกลงทำธุรกรรมกับบริษัท รถรับจ้าง ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างรอบคอบ เช่น ใบเสนอราคา, สัญญา, และใบรับรองการประกัน.


7. สอบถามเรื่องบริการเพิ่มเติม:

ถามเกี่ยวกับบริการที่อาจจะเสริมค่าให้ เช่น การช่วยเตรียมของ, การติดตั้ง, การยกของ หรือบริการที่สามารถทำให้กระบวนการย้ายของคุณง่ายขึ้น.


8. ทดลองติดต่อ:

ทดลองติดต่อบริษัท รถรับจ้างขนย้ายบ้าน โดยการสอบถามคำถามและดูว่าพวกเขาให้บริการลูกค้าดีแบบไหน.


9. เช็คระยะเวลา:

สอบถามเรื่องระยะเวลาที่รถรับจ้างจะใช้ในการขนของของคุณ และแนะนำให้ติดตามสถานะของรถขณะที่อยู่ในระหว่างขนย้าย


10. ไม่ลืมการตรวจสอบประกันรถ:

ตรวจสอบว่ารถที่จะให้บริการมีประกันภัยเพียงพอหรือไม่.

การเลือกรถรับจ้างเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการย้ายของ การวางแผนอย่างถูกต้องและการเลือกบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณมั่นใจและทำให้กระบวนการนี้เป็นประสบการณ์ที่ราบรื่น.

เมื่อคุณ ขนย้ายบ้าน มีของหลายชนิดที่ต้องถอดประกอบและติดตั้งใหม่ อะไรบ้าง

เฟอร์นิเจอร์:

ตู้เสื้อผ้า

โต๊ะ

เตียง

ตู้เสื้อผ้า

โต๊ะทำงาน

ตู้ทีวี

ชั้นวางของ

อุปกรณ์ทำครัว:

ไมโครเวฟ

ตู้เย็น

เตา

กระทะ

เครื่องครัวทั่วไป (เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น, เครื่องทำกาแฟ)

เครื่องใช้ไฟฟ้า:

ทีวี

เครื่องซักผ้า

เครื่องอบผ้า

เครื่องดูดฝุ่น

เครื่องปรับอากาศ

ของใช้ทั่วไป:

โคมไฟ

ผ้าม่าน

กระจก

โปสเตอร์หรือรูปภาพ

หนังสือ, วัสดุการอ่าน

การ์เมนต์และตกแต่ง:

ผ้าม่าน

ภาพวาด

ตกแต่งห้อง

พวงกุญแจและรูปแบบตกแต่ง

เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนตัว:

ไอรอน

หม้อนึ่ง

เครื่องปรับผม

กระจกแปรงสี

เครื่องนวดหลัง

เครื่องใช้ทั้งหมดในห้องน้ำ:

กระจก

ไว้รีดผม

ตะแกรงระบายน้ำ

กล่องของใช้ส่วนตัว

ของเล่นและของเล่นสำหรับเด็ก:

ของเล่นต่าง ๆ

สมุดภาพ

ลูกบอล

จักรยาน

อุปกรณ์ทำสวน:

กรรไกร

รถเข็นหญ้า

ถุงปุ๋ย

กระบองต้นไม้

ของใช้ที่อาจต้องเคลื่อนย้ายด้วยตนเอง:

กล่องของทั่วไป

กระสอบ

กระเป๋าเดินทาง

กล่องอุปกรณ์

ทั้งนี้หากมีของที่คุณต้องการอย่างเฉพาะ เช่น บริการรถรับจ้างไปยังที่ใหม่ กรุณาตรวจสอบเป็นรายเฉพาะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีของสำคัญที่ลืมถอดหรือติดตั้งในที่ใหม่ของคุณ.


รถรับจ้างพร้อมคนยก

การเลือกใช้ รถหกล้อรับจ้างขนย้ายบ้าน (ที่มักเป็นรถบรรทุก) ในกระบวนการย้ายบ้านมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับบางคน:


ความจุของพื้นที่:

รถหกล้อมักมีพื้นที่ในการจัดเก็บของมากกว่ารถกระบะ. นี้มีผลให้คุณสามารถย้ายของได้มากมายในการเดียว, ลดจำนวนครั้งที่ต้องเคลื่อนย้าย.


การขนส่งของใหญ่:

รถหกล้อรับจ้าง มีความสามารถในการขนของที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก. นั่นหมาะสำหรับบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์หรือของใหญ่ๆ ที่ต้องการการขนส่ง.


ความคุ้มค่าทางการเงิน:

การ เช่ารถหกล้อรับจ้าง อาจมีราคาที่คุ้มค่ากว่าการใช้รถกระบะหลายครั้ง. ค่าบริการมักจะขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ใช้บริการ, ระยะทาง, และปริมาณของของ.


ความสะดวกสบาย:

การใช้รถหกล้อรับจ้างทำให้การย้ายของเป็นไปอย่างสะดวกสบาย โดยคุณไม่ต้องทำมากนักในการจัดเตรียมของหรือการเคลื่อนย้าย.


ความปลอดภัยของของ:

รถหกล้อมักมีระบบที่ดีเพื่อความปลอดภัยของของที่ถูกขนย้าย ส่วนใหญ่ของบริษัทรถรับจ้างที่มีความเชี่ยวชาญมักจะป้องกันของที่ถูกขนย้ายอย่างดี.


ลดเวลาและพลังงาน:

การใช้รถหกล้อรับจ้างช่วยลดเวลาและพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย เนื่องจากคุณสามารถย้ายของได้มากในการเดียว.


การขนส่งไกล:

หากคุณย้ายไปยังที่ที่ห่างไกล ขนย้ายของไปต่างจังหวัด  การใช้รถหกล้อรับจ้างสามารถเป็นตัวเลือกที่สะดวกและประหยัดเวลา.

แม้ว่ารถหกล้อรับจ้างจะมีข้อได้เปรียบในบางกรณี, ควรพิจารณาความต้องการและปริมาณของของที่คุณต้องการย้ายเพื่อตัดสินใจว่ามันเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ.


การเช็คตรวจสอบสินค้าหลังการขนย้ายของเสร็จ

เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อให้คุณตรวจสอบว่าสินค้าของคุณถูกขนย้ายไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์. ตรวจสอบสินค้าให้ละเอียดเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีความเสียหายหรือขาดหายในกระบวนการขนย้าย. นี่คือขั้นตอนที่ควรทำ:


ตรวจสอบตามรายการ:

เริ่มต้นโดยตรวจสอบสินค้าตามรายการที่คุณได้ทำไว้ก่อนการขนย้าย. ในกรณีที่มีรายการของ, ตรวจสอบว่าทุกรายการตรงกับรายการที่คุณมี.


ตรวจสอบสภาพของกล่องหรือบรรจุภัณฑ์:

ตรวจสอบว่ากล่องหรือบรรจุภัณฑ์มีสภาพไม่เสียหาย. ถ้ามีการบีบอัดหรือแตกร้าว, อาจมีโอกาสทำให้สินค้าภายในเสียหาย.


เปิดและตรวจสอบทีละชิ้น:

เปิดกล่องหรือบรรจุภัณฑ์และตรวจสอบทีละชิ้นของ. ตรวจสอบว่าสินค้ามีสภาพปกติ, ไม่มีคราบหรือรอยถลอก.


ถ่ายรูปสินค้า:

ถ่ายรูปสินค้าทุกชิ้นก่อนที่คุณจะเอาออกจากบรรจุภัณฑ์. รูปภาพเหล่านี้สามารถเป็นหลักฐานที่ดีในกรณีที่คุณต้องการทำประกันหรือเรียกร้องค่าเสียหาย.


ตรวจสอบรอยทานหรือคราบ:

ตรวจสอบสินค้าเพื่อหารอยทาน, คราบ, หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในการขนย้าย. รับรู้ถึงสถานะของสินค้าและแจ้งให้บริษัทรับจ้างทราบถ้ามีปัญหา.


ตรวจสอบสินค้าพิเศษ:

สำหรับสินค้าที่มีความพิเศษหรือแปลกปลอม, ตรวจสอบว่ามีความสมบูรณ์และไม่มีความเสียหาย.


ลงลายมือชื่อหรือรับรอง:

เมื่อคุณตรวจสอบสินค้าเสร็จ, ลงลายมือชื่อหรือรับรองในเอกสารที่ระบุสภาพของสินค้า. นี้เป็นการยืนยันว่าคุณได้รับสินค้าในสภาพที่ดี.


รายงานปัญหา:

หากคุณพบปัญหาหรือความเสียหาย, แจ้งให้บริษัทรับจ้างทราบทันทีและเก็บหลักฐานเพื่อให้มีหลักฐานในการเรียกร้อง.

การทำขั้นตอนนี้ช่วยให้คุณมั่นใจว่าสินค้าของคุณถูกนำมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์ และทำให้คุณสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ในกรณีที่มีความเสียหายหรือขาดหาย.

9
รถรับจ้างนครสวรรค์ บริการรถรับจ้างที่ครบครัน รถกระบะรับจ้างขนของ หกล้อ สิบล้อ เทรลเลอร์ เฮี๊ยบ เลือกใช้ตามต้องการ
   
รถรับจ้างนครสวรรค์

ทุกวันนี้ รถรับจ้าง ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ตอบสนองความต้องการในหลายด้านของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านธุรกิจ การขนส่งสินค้าหรือบริการต่างๆ รถรับจ้างนครสวรรค์ สามารถทำให้การขนส่งสินค้ามีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูง การขนส่งที่รวดเร็วและตรงเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ นอกจากนี้ รถรับจ้างยังมีความหลากหลายในการให้บริการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการขนย้ายบ้าน หอพัก อพาร์ทเม้น การขนส่งวัสดุก่อสร้าง ย้ายไซต์งาน หรือการจัดส่งสินค้า การมีรถรับจ้างที่เหมาะสมกับงานจะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่นมากยิ่งขึ้นค่ะ

   
รถรับจ้างนครสวรรค์ ใกล้ฉัน

ในปัจจุบัน ความสะดวกสบายที่ รถรับจ้างนครสวรรค์ นำเสนอ ยังรวมถึงการเข้าถึงบริการที่ง่ายดายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเรียก รถรับจ้างนครสวรรค์ ใกล้ฉัน ได้ตามต้องการในเวลาอันรวดเร็ว การมีรถรับจ้างจึงไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระในการขนส่ง แต่ยังเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดเวลาให้กับผู้ใช้บริการได้อย่างมาก นอกจากนี้ บริการรถรับจ้างนครสวรรค์ ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการลงทุนซื้อรถขนส่งเอง ช่วยให้การขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปด้วยค่ะ

   
รถรับจ้างนครสวรรค์ ไปต่างจังหวัด

เนื่องจาก บริการรถรับจ้าง มีความต้องการแรงงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ ทีมงานขนย้าย หรือผู้ดูแลบริการ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสในการทำงานให้กับประชาชนในท้องถิ่น ในด้านความปลอดภัย รถรับจ้างนครสวรรค์ ไปต่างจังหวัด ที่มีมาตรฐานจะมีการฝึกอบรมคนขับให้มีความชำนาญและมีความรับผิดชอบในการขนส่งสินค้า เพื่อให้การขนส่งเป็นไปอย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ การมีระบบติดตามสถานะการขนส่งผ่านเทคโนโลยี GPS ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการว่า สินค้าของพวกเขาจะถูกส่งถึงปลายทางอย่างปลอดภัยและตรงเวลาอีกด้วยค่ะ

   
รถรับจ้างนครสวรรค์

ในยุคที่การขนส่งสินค้าและการย้ายบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ความต้องการใช้บริการรถรับจ้างก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากคุณกำลังมองหาบริการ รถรับจ้างนครสวรรค์ ที่ครบครันและตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็น รถกระบะ รถหกล้อ รถสิบล้อ เทรลเลอร์ หรือแม้แต่รถเฮี๊ยบ รถรับจ้างนครสวรรค์ขนส่ง เรามีบริการที่หลากหลายให้คุณได้เลือกใช้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการขนย้ายสินค้าขนาดเล็กหรือใหญ่ การขนย้ายบ้าน หรือการขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้าง ทุกขั้นตอนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และคุ้มค่ามากที่สุดค่ะ

   
รถรับจ้างนครสวรรค์ ขนย้ายของทั่วไป

บริการรถรับจ้างนครสวรรค์ นั้นเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการขนย้ายของทั่วไป ด้วยความหลากหลายของรถรับจ้างที่ให้บริการ เช่น รถกระบะ รถหกล้อ รถสิบล้อ รถเทรลเลอร์ และรถเฮี๊ยบ ผู้ใช้บริการสามารถเลือกใช้รถที่ตรงกับความต้องการได้ตามประเภทและขนาดของของที่จะขนย้าย ข้อดีของการใช้บริการ รถรับจ้างขนย้ายของทั่วไปนครสวรรค์

    ความสะดวกสบาย : ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขับขี่หรือการหาเส้นทาง เพียงแค่เรียกรถ ทีมงานที่มีประสบการณ์จะดูแลทุกอย่างให้คุณ
    ความปลอดภัย : รถรับจ้างที่ให้บริการมีมาตรฐานสูง มีการฝึกอบรมคนขับให้มีความชำนาญและมีความรับผิดชอบต่อการขนส่งสินค้า
    การขนส่งที่รวดเร็ว : บริการรถรับจ้างช่วยให้การขนย้ายของเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตรงเวลา และลดภาระในการจัดการขนส่ง
    ความยืดหยุ่น : ผู้ใช้บริการสามารถเลือกประเภทของรถและขนาดที่เหมาะสมกับปริมาณของที่จะขนย้ายได้อย่างสะดวก
    บริการที่หลากหลาย : นอกจากการขนย้ายทั่วไป ยังมีบริการเสริม เช่น การบรรจุหีบห่อ การยกของหนัก และการจัดเก็บสินค้า

การเลือกใช้บริการ รถรับจ้างนครสวรรค์ขนส่ง เป็นวิธีที่ดีในการทำให้การขนย้ายของเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะมีของที่จะขนย้ายเพียงไม่กี่ชิ้นหรือจำนวนมาก ก็สามารถค้นหา รถรับจ้าง ที่เหมาะสมกับความต้องการได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้การขนย้ายของคุณเป็นเรื่องง่ายและไม่มีความยุ่งยากอีกต่อไปค่ะ
ด้วยความสะดวกสบายและความหลากหลายของบริการ รถรับจ้างนครสวรรค์ จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยให้การขนย้ายของเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

10
จัดฟันบางนา: สีของอาหารที่รับประทาน ส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันหรือไม่ ?

การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะมีการนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ในการรักษาตั้งแต่ขั้นตอนประเมินช่องปากเบื้องต้นโดยทันตแพทย์ จนไปถึงการวางแผนการรักษา ซึ่งการจัดฟันแบบใสนั้น มีประสิทธิภาพในการเรียงตัวของฟันมากและสามารถทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่มีอุปสรรค โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจะมีอุปสรรคในการรับประทานอาหาร เพราะเนื่องจากเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น ที่ติดอยู่ภายในช่องปากทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันต้องเลือกรับประทานอาหารมากขึ้นและไม่ควรรับประทานอาหารที่มีความแข็ง เพราะจะส่งผลทำให้เครื่องมือการจัดฟันหลุดขณะรับประทานอาหาร

นอกจากนี้ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันก็มีความลำบากเพราะอาจจะแปรงฟันได้ไม่ทั่วถึง แต่ในส่วนของผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใสก็สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ทั้งยัง ช่วยส่งเสริมทำให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้ ในเรื่องของการรับประทานอาหารนั้นแน่นอนว่าผู้เข้ารับการจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใด ต้องคำนึงถึงอาหารที่เรารับประทานเข้าไปด้วย แต่ในการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วขณะรับประทานอาหารจะต้องถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยเช่นเดียวกัน เพราะสีของอาหารอาจจะส่งผลทำให้เครื่องมือการจัดฟันแบบใสเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองได้

สำหรับใครที่มีพฤติกรรมการรับประทานกาแฟระหว่างวันและอาจจะเผลอลืมถอดเครื่องมือการจัดฟันแบบใสออกก็จะทำให้คราบกาแฟติดอยู่บนเครื่องมือการจัดฟัน ทำให้เครื่องมือเหลืองได้ สำหรับใครที่ไม่ได้รับประทานกาแฟก็อาจจะมีข้อสงสัยว่าแล้วอาหารประเภทอื่นที่มีสีแล้วเรารับประทานเข้าไปจะส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันหรือไม่ ซึ่งวันนี้ทางคลินิก ของเราจะมาพูดถึงการรับประทานอาหารส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันอย่างไรบ้างและทำให้มีสีที่เปลี่ยนไปหรือไม่  ในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันถอดเครื่องมือออกก่อนรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้เครื่องมือมีสีใสและสวยงามเหมือนเดิม แต่ถ้าหากใครเผลอรับประทานอาหารเครื่องดื่มขณะสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันก็อาจจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันมีสีที่เปลี่ยนไป

ซึ่งแน่นอนว่าคำถามที่หลายคนสงสัยว่าการรับประทานอาหารที่มีสีส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันอย่างไร ต้องบอกเลยว่าถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีสีและทำความสะอาดได้ไม่ดี แน่นอนว่าจะส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันอย่างแน่นอน เพราะโอกาสที่สิ่งที่เรารับประทานเข้าไปจะติดอยู่ในเครื่องมือการจัดฟันได้ถือว่าสูงมากเลยทีเดียว ถ้าหากใครชอบรับประทานกาแฟขณะสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันก็ทำให้สีของเครื่องมือเปลี่ยนไป และถ้าหากสวมใส่เครื่องมือก็จะทำให้ฟันของเรามีสีเหลืองเช่นเดียวกัน ดังนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ควรถอดเครื่องมือก่อนรับประทานอาหารและขณะแปรงฟัน เพราะนอกจากจะเป็นการดูแลรักษาความสะอาดของเครื่องมือการจัดฟันแล้ว ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายต่อเครื่องมือการจัดฟันได้ อย่างไรก็ตาม หากเราดูแลรักษาความสะอาดอย่างผิดวิธี ก็อาจจะทำให้เครื่องมือการจัดฟันมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้นการดูแลเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องทำความสะอาดอย่างถูกวิธีและปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใสสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญและคลินิกของเรายังได้รับการรับรองขั้นสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถทำการจัดฟันได้ จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่า ถ้าหากเข้ารับบริการจากทางคลินิกก็จะมีความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ ทำให้คุณกลับมามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง

11
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


12
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


13
ทำไมการติดฉนวนกันความร้อนโรงงาน จึงลดต้นทุนเพิ่มกำไรให้ธุรกิจได้

ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภทต่างล้วนมีเป้าหมายเดียวกันก็คือการทำงานให้ออกมามีคุณภาพมากที่สุด เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจใช้บริการ อันจะนำไปสู่ผลประกอบการธุรกิจที่ได้กำไรสูงสุดตามเป้าหมาย ซึ่งการจะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นี้ได้นั้น

รู้หรือไม่ว่า นอกจากการควบคุมกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพแล้ว การติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน ก็ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการปฏิบัติที่สามารถช่วยให้โรงงานลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้มากขึ้นได้ โดยเหตุผลที่ทำให้ฉนวนกันความร้อนโรงงาน มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จธุรกิจนั้น เป็นเพราะ


1.ฉนวนกันความร้อนโรงงานช่วยให้ประหยัดต้นทุนพลังงานได้มากขึ้น

โดยปกติแล้วลำพังเพียงแค่ความร้อนจากเครื่องจักรภายในโรงงานที่ทำงานตลอดทั้งวัน ก็เพียงพอที่จะทำให้ภายในโรงงานสะสมความร้อนไว้สูงจนเครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศภายในโรงงานทำงานหนักขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลโดยตรงต่อค่าไฟ

ทั้งนี้ ยิ่งอากาศภายนอกโรงงานร้อนมากเท่าไร แล้วโรงงานไม่ได้วางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อนในจุดสำคัญ ๆ อาทิ หลังคาโรงงาน ห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง ระบบปรับอากาศ ฯลฯ ไว้เลย ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาสะสมความร้อนภายในโรงงานสูงขึ้นจนกินไฟกินพลังงานมากขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว

ซึ่งเมื่อต้นทุนพลังงานสูงขึ้น กำไรก็จะหดหายไปในทันที หรืออาจถึงขั้นขาดทุนโดยไม่รู้ตัว กลับกันหากโรงงานวางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อน ปัญหาความร้อนสะสมภายในโรงงานก็จะเบาลง เครื่องจักรไม่ทำงานหนักเกินไป เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างเหมาะสม ค่าไฟก็ลดลง ซึ่งเมื่อสามารถลดต้นทุนลงได้ ก็จะทำให้โรงงานมีกำไรเพิ่มขึ้นได้เลยทันทีนั่นเอง


2.ฉนวนกันความร้อนโรงงานช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมบำรุงได้ดี

สืบเนื่องจากการที่ความร้อนสะสมภายในโรงงานทำให้เครื่องจักร เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในโรงงานทำงานหนักขึ้น ผลที่ตามมาจะไม่ใช่เพียงแค่ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่อายุการใช้งานของเครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ก็จะสั้นลงตามไปด้วย โดยอาจเสียหายชำรุดบ่อยขึ้น ทำให้ต้องเสียค่าซ่อมบำรุง หรือต้องเปลี่ยนซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งทุกค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือต้นทุนที่ทำให้ธุรกิจมีกำไรน้อยลงหรือเสี่ยงขาดทุนได้ ยิ่งหากเป็นเครื่องจักรสำคัญในกระบวนการผลิตของโรงงานด้วยแล้ว หากเสียหายชำรุดขึ้นมา ก็อาจส่งผลกระทบต่อการผลิต ทำให้การผลิตต้องหยุดชะงัก ถูกปรับ ถูกบอกเลิกจากลูกค้าได้

ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์เลวร้ายที่ประเมินมูลค่าความเสียหายได้ยาก เพราะอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้โรงงานขาดทุนล้มละลายได้เลย หากถูกบอกเลิกจากลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นรายได้สำคัญของธุรกิจ ดังนั้น การวางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจเป็นอันดับแรก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรงงานเสี่ยงได้รับผลกระทบจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากเครื่องจักรเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดเสียหาย


3.ฉนวนกันความร้อนโรงงานช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าโรงงานร้อนเกินไป พนักงานจะเหนื่อยง่ายหน่ายงานเร็ว และเกิดความผิดพลาดในการทำงานได้มาก ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งพนักงานทำผิดพลาด ยิ่งพนักงานอู้ไม่เต็มที่ไม่เต็มใจกับงาน ผลงานก็จะออกมาไม่ดีและส่งผลกระทบต่อคุณภาพการผลิตโดยตรง ทำให้กำไรหดหาย มีต้นทุนแฝงเพิ่มากขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว พนักงานที่ทำงานในโรงงานร้อน ๆ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่สบายได้บ่อย นำไปสู่การขาดงาน การต้องจ่ายสวัสดิการดูแลพนักงาน และที่สำคัญคืออาจทำให้ชื่อเสียบริษัทเกิดความเสียหายได้ด้วยจากการไม่ดูแลพนักงานให้ดีพอ ดังนั้น ที่หลายคนมองว่าฉนวนกันความร้อนไม่สำคัญ ในความเป็นจริงคือสำคัญต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในโรงงานมาก ๆ

ผู้ประกอบการบางคนอาจไม่ทราบว่ากฎหมายมีข้อกำหนดเอาไว้อยู่แล้วว่าผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องดูแลจัดระเบียบควบคุมให้โรงงานไม่มีความร้อนสะสมสูงเกินไป ไม่ทำให้พนักงานได้รับผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ซึ่งหากความร้อนสะสมภายในโรงงานขึ้นจนทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็จะนำไปสู่การตรวจสอบหาสาเหตุ ซึ่งหากค้นพบว่าโรงงานไม่มีการควบคุมป้องกันความร้อนสะสมภายในโรงงานให้ดีล่ะก็ จะเท่ากับทำผิดกฎหมายและมีโทษที่ต้องรับผิดชอบ

ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ฉนวนกันความร้อนโรงงานก็มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมาก แต่ถึงแม้จะเห็นความสำคัญของฉนวนกันความร้อนโรงงานแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการออกแบบติดตั้งวางแผนแก้ไขปัญหาความร้อนสะสมภายในโรงงานจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะด้วย ต้องเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้ติดตั้งฉนวนกันความร้อนไป ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความร้อนสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ดี และกลายเป็นการลงทุนที่เสียเปล่าทั้งงบประมาณและเวลา

14
ซ่อมบำรุงอาคาร: ทำไม? ท่อประปาในบ้านจึง “รั่ว แตก” และมีวิธีรับมืออย่างไร

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอกับปัญหา ” ท่อน้ำในบ้าน/คอนโด รั่ว แตก “ เป็นอีกหนึ่งปัญหาบ้านยอดฮิตของผู้อยู่อาศัยเพราะนอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับตัวบ้านแล้ว ยังทำให้เราต้องจ่ายค่าน้ำที่ไหลทิ้ง รวมถึงค่าไฟจากปั๊มน้ำที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ..เรื่องท่อประปานี้ผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยไปสำรวจหรือทำความเข้าใจกับระบบสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อซื้อบ้านก็จะมาพร้อมระบบประปาที่พร้อมใช้งานได้ทันที และด้วยเหตุผลที่ว่าถึงท่อประปาจะเสื่อมสภาพแต่มันก็ยังคงจ่ายน้ำได้ ทำให้เราละเลยไม่ค่อยสนใจ ‘ท่อ’ เหล่านี้ ตราบจนกระทั่งมันเริ่มส่งผลต่อน้ำประปาที่ไหลออกมาจากท่อ ทำให้น้ำประปามีลักษณะที่ต่างไปจากเดิมนั่นแหละ คนจึงจะเห็นค่าและหันมาดูแลให้อยู่ในสภาพดี วันนี้ทางทีมงานก็มีวิธีรับมือกับเหล่าปัญหาท่อน้ำ ” รั่ว แตก “ ในจุดต่างๆ มาฝากกัน เพื่อให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงสาเหตุ วิธีการป้องกัน และการแก้ไขปัญหากวนใจในการอยู่อาศัยค่ะ

หลายๆ คนอาจสงสัยว่า..เสียงปั๊มน้ำที่ดังในเวลาที่เราไม่ได้ใช้น้ำภายในบ้าน ไม่ได้กดชักโครก ล้างจาน อาบน้ำ หรือมั่นใจว่าปิดก๊อกน้ำสนิทหมดทุกจุดแล้ว แต่ปั้มน้ำดันทำงาน ตัวเลขในมาตรวัดน้ำเพิ่มอยู่ตลอดเวลา หรือปัญหาน้ำไหลช้าแต่ปั๊มน้ำอัตโนมัติทำงาน อาการเหล่านี้นี่แหละที่เป็นสัญญาณเตือนว่าบ้านเรามี “ท่อน้ำรั่วซึม” หรือมีจุดที่ “ท่อแตกเสียหาย” แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ก็ทำให้ไหลต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้บ้านเรามีปริมาณการใช้น้ำที่มากกว่าปกติ

จากการสำรวจการใช้น้ำในอาคารบ้านเรือน พบว่าน้ำที่รั่วช้าๆ  30 หยด ต่อ 1 นาที คิดเป็นปริมาณน้ำที่เสียไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ที่ 3 แกลอนต่อ 1 วัน หรือเท่ากับ คนอาบน้ำ 27 ครั้ง ถ้าเรานับค่าใช้จ่ายของน้ำในแต่ละเดือน เราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปเยอะมาก หากเราช่วยกันสังเกต ดูแล และแก้ไขอยู่เสมอ นอกจากจะช่วยรักษาบ้านให้อยู่ในสภาพดีแล้ว ยังเป็นการช่วยเซฟเงินในกระเป๋าอีกด้วย สำหรับสาเหตุและวิธีป้องกันปัญหาท่อน้ำรั่ว แตก ต่างๆ จะเกิดจากอะไร และต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

1. สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ “ท่อน้ำรั่วแตก” ได้

1.1 แรงดันภายในท่อประปา : สาเหตุที่ทำให้ท่อน้ำประปาแตกชำรุดอย่างแรกคือแรงกระแทกภายในท่อน้ำเอง ซึ่งแรงภายในท่อน้ำมักเกิดจากแรงดันน้ำกระแทกกลับหรือที่ภาษาช่างเรียกว่า Water Hammer สาเหตุเกิดจากความเร็วของน้ำในเส้นท่อที่ถูกหยุดอย่างฉับพลัน ซึ่งเกิดได้จากหลายเหตุการณ์ ได้แก่

    เมื่อไฟฟ้าดับทำให้เครื่องสูบน้ำหยุดทันที จึงเกิดแรงกระแทกกลับของน้ำในเส้นท่อที่ไหลออกไม่ได้ทำให้ท่อแตก
    การปล่อยให้ถังเก็บน้ำแห้งบ่อยๆ ทำให้อากาศเข้าไปค้างภายในท่อ เมื่อเปิดใช้น้ำตามปกติ น้ำจะวิ่งไปอัดดันท่อระเบิดได้ค่ะ

1.2 แรงกระแทกจากภายนอกท่อน้ำ ​: เนื่องจากงานท่อน้ำเป็นงานระบบที่เรามักจะซ่อนเอาไว้ในผนัง, ใต้ฝ้าเพดาน หรือตามทางเดิน ทำให้สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ท่อน้ำได้ ส่วนใหญ่เรามักจะเจอท่อน้ำแตกจากสาเหตุต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่

    การฝังท่อน้ำประปาใต้ดินถูกกดทับจากแรงกระแทกของรถยนต์ที่วิ่งผ่านท่อด้านบน หรือ ดินที่ใช้กลบท่อน้ำยืดหดตัวก็สามารถไปดันให้ท่อน้ำแตกได้
    โครงสร้างบ้านทรุดตัวในบริเวณที่เดินท่อน้ำ ก็อาจส่งผลให้ท่อน้ำหัก งอ จนเกิดการรั่วแตกได้
    การติดตั้งขาแขวน (Pipe Hangers) ห่างเกินไปและไม่รัดท่อกับขาแขวนให้มั่นคง เมื่อเกิดแรงดันในท่อน้ำ ท่อน้ำก็จะขยับหรือส่ายตัว ทำให้ข้อต่อคลายตัวหรือกระแทกกับท่อทีละนิด จนเกิดการรั่วซึม

1.3 งานติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐาน : ความชำนาญของช่างเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ถ้าได้ช่างที่ไม่ได้มาตรฐานมักทำให้งานมีปัญหาหลังจากที่ใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง ที่พบมากคือ น้ำรั่วบริเวณข้อต่อต่างๆ เนื่องจากการต่อท่อไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ทดสอบแรงดันน้ำในเส้นท่อก่อน ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาในภายหลัง อีกทั้งขั้นตอนในการต่อท่อก็ต้องทำให้เรียบร้อย เลือกช่างที่ไว้ใจได้สักหน่อย แล้วอย่าไปเร่งงานช่างมากนัก เพื่อที่จะได้งานระบบประปาที่มีคุณภาพ ใช้ไปได้นานๆ ค่ะ

2. วิธีตรวจสอบท่อน้ำรั่วในบ้าน

เพื่อนๆ คงพอจะเข้าใจสาเหตุของปัญหาท่อน้ำรั่วหรือแตกกันแล้ว ต่อไปก็คอยหมั่นสังเกตและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะส่งผลกับท่อน้ำได้นะคะ  แต่หากใครเริ่มมีความสงสัยว่าท่อน้ำในบ้านของตัวเองรั่วหรือเปล่า เราก็มีวิธีตรวจสอบมาฝากกันค่ะ

2.1 ขั้นแรก : ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าจุดที่น้ำประปารั่วเป็นท่อประปา ไม่ใช่จากพวกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต่อกับท่อน้ำ เช่น พวกก๊อกน้ำ, โถสุขภัณฑ์ และข้อต่อของสายฝักบัวต่างๆ ซึ่งมักจะมีจุดที่เกิดปัญหา ดังนี้

ก๊อกน้ำ : ให้ตรวจสอบหาจุดรั่วซึมบริเวณก๊อกน้ำ เริ่มจากดูทุกก๊อกว่าปิดสนิทหรือไม่ มีน้ำซึมออกมาตามข้อต่อหรือเปล่า

โถสุขภัณฑ์ : หากโถสุขภัณฑ์มีน้ำไหลตลอดเวลา หลักๆ ควรตรวจสอบอุปกรณ์ลูกลอย ฟลัชวาล์ว และแหวนยางว่าเสียหรือเปล่า?

    ลูกลอย ตรวจสอบว่ามีอยู่ในระดับปกติหรือไม่

    หากลูกลอยอยู่สูงกว่าปกติ คืออยู่สูงกว่าระดับน้ำล้นในโถกักเก็บน้ำ แสดงว่าน็อตบางตัวหลวมหรือคลายตัว ให้แก้โดยปรับลูกลอยให้ต่ำลงและทำการขันน็อตให้แน่น
    หากลูกลอยลดระดับลงต่ำผิดปกติ หรือลูกลอยจมน้ำ ให้ถอดลูกลอยออกมาดูว่าเกิดรอยรั่วหรือการแตกร้าวหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้ำซึมเข้าไปในลูกลอย ทำให้น้ำไหลออกทางรูน้ำล้นลงโถสุขภัณฑ์ตลอดเวลา ซึ่งควรแก้ไขโดยขันสกรูเอาลูกลอยออกแล้วเปลี่ยนอันใหม่แทน
    หากระดับลูกลอยปกติ ให้ลองยกลูกลอยขึ้นสุด หากน้ำยังคงไหลอยู่ แสดงว่าลูกลอยเสีย ให้เปลี่ยนลูกลอยใหม่

ฟลัชวาล์ว ปัญหาการรั่วซึมของฟลัชวาล์ว อาจเนื่องจาก เศษสิ่งเเปลกปลอมติดค้าง อยู่ภายในชุดวาล์ว ให้ทำการถอดล้างทำความสะอาด

    ลูกกบ ทำหน้าที่เปิดปิดรูปล่อยน้ำให้ไหลลงสุขภัณฑ์ วิธีสังเกตคือดูว่าอาจเพราะมีวัตถุบางอย่างติดค้างทำให้ปิดไม่สนิทจนน้ำไหลทิ้ง แก้โดยเอาวัตถุนั้นออกหรือเช็ดทำความสะอาด หากไม่มีวัตถุผิดสังเกตที่ว่า ให้ดูว่าโซ่หรือเชือกที่ดึงเพื่อเปิดปิดน้ำนั้นตึงเกินไปจนทำให้ลูกกบเปิดค้างไว้หรือไม่ แก้โดยปรับสายให้พอดี ไม่ให้ตึงหรือหย่อนเกินไป หากลูกกบชำรุดหรือฉีกขาดต้องทำการเปลี่ยนใหม่ทันที สำหรับลูกกบใหม่ลองนำมาวางปิดรูปล่อยน้ำก่อน ว่าสามารถปิดรูปล่อยน้ำได้สนิทดีหรือไม่ จึงค่อยยึดเข้ากับโซ่หรือเชือกดึง
    ยางลูกกบ คือแผ่นยางปิดรูปล่อยน้ำ ทำหน้าที่ซีลหรืออุดร่องระหว่างลูกกบและช่องเปิดปิดน้ำให้แน่นแนบสนิทมากขึ้น ปัญหาของยางลูกกบมักเกิดจาก มีตะไคร่หรือคราบสกปรกเกาะอยู่ แนะนำให้ถอดออกมาทำความสะอาดและติดตั้งกลับเข้าไปใหม่ หรือยางเสื่อมสภาพหรือชำรุด ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอกที่ผิดปกติ บิดเบี้ยว บวม เปื่อย หรือขาด ทำให้ยางปิดไม่สนิทดี แนะนำให้เปลี่ยนแผ่นยางใหม่

ข้อต่อของสุขภัณฑ์ต่างๆ : ให้ตรวจหารอยรั่วซึมของข้อต่อในบริเวณต่างๆ โดยการทดสอบปิดวาล์วน้ำในแต่ละจุด ถ้าไม่พบรอยรั่วในวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ก็เพิ่มความมั่นใจโดยการปิดก๊อกและวาล์วที่สุขภัณฑ์ทุกจุดแล้วตรวจเช็คที่มิเตอร์น้ำ หากพบว่ามิเตอร์น้ำยังหมุนอยู่ก็แน่ใจได้แล้วว่ามีท่อประปารั่วอย่างแน่นอน

2.2 ขั้นที่สอง : เมื่อแน่ใจแล้วว่าเกิดการรั่วที่ท่อน้ำก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนที่ยุ่งยากที่สุดในการซ่อมท่อรั่ว คือขั้นตอนหาตำแหน่งของท่อหรือข้อต่อที่น้ำนั้นรั่วซึมออกมา โดยหากทราบถึงตำแหน่งที่แน่นอน ช่างก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทุบหรือเจาะผนังเป็นบริเวณกว้าง สามารถเจาะเฉพาะในจุดที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น การหาจุดรั่วก็มีความยากอยู่ตรงที่ลักษณะการเดินท่อประปาที่ส่วนใหญ่จะเดินแบบฝังผนัง เราจึงไม่สามารถเห็นท่อได้ตรงๆ วิธีการคือให้ลองตรวจสอบร่องรอยน้ำซึม คราบน้ำตามพื้น ผนัง และฝ้าเพดาน รวมถึงตรวจดูตามข้อต่อของท่อ ซึ่งมักจะเป็นจุดที่รั่วได้ง่าย นอกจากนี้หากบ้านมีการต่อเติม เช่นต่อเติมครัว แล้วมีการเดินท่อประปาไปยังส่วนต่อเติม ให้ลองตรวจสอบท่อบริเวณรอยต่อของบ้าน เนื่องจากหากส่วนต่อเติมทรุดไม่เท่ากับบ้านก็อาจส่งผลให้ท่อบริเวณรอยต่อของบ้านเสียหายจนรั่วได้

2.3 ขั้นสุดท้าย คือไล่ดูท่อประปาตามการแยกสาขาของท่อ โดยปิดวาล์วเช็คทีละส่วน เช่น ปิดวาล์วที่จ่ายน้ำชั้นบนก่อน หากมิเตอร์น้ำยังหมุนอยู่ ให้ลองสลับปิดวาล์วที่จ่ายน้ำชั้นล่าง หากมิเตอร์หยุดหมุนแสดงว่าจุดที่รั่วอยู่ภายในชั้นล่างของบ้าน และหากชั้นล่างมีวาล์วแยกอีก เช่น ในบ้านกับนอกบ้าน ก็ให้ลองสลับปิดวาล์วทีละส่วน ก็จะช่วยจำกัดวงของจุดที่น้ำรั่วได้แคบขึ้น

สำหรับส่วนของท่อประปาที่อยู่ใต้ดิน และท่อประปาที่อยู่ในพื้นหรือผนัง จะเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการหาจุดรั่ว ซึ่งอาจจะต้องเรียกช่างผู้ชำนาญการ หรือเจ้าหน้าที่จากการประปาที่มีเครื่องมือในการตรวจสอบให้มาช่วยตรวจหาจุดรั่ว โดยเมื่อพบจุดรั่วแล้วการซ่อมแซมอาจทำได้โดยตัดต่อท่อใหม่ หรือปะซ่อมแซมรูรั่ว ซึ่งหากจุดรั่วอยู่ในพื้นหรือผนังก็จำเป็นที่จะต้องทุบพื้นหรือผนังเพื่อซ่อมท่อ หรือหากไม่ต้องการทุบก็อาจจะทำการเดินท่อระบบใหม่แยกแล้วเชื่อมต่อเข้ากับท่อเก่าในส่วนที่ไม่รั่วก็ได้


3. สรุปจุดที่ท่อน้ำรั่วบ่อยๆ และวิธีการแก้ไข

ท่อน้ำเหนือฝ้าเพดานรั่วซึม ในเบื้องต้นสามารถสังเกตได้จากคราบเปื้อนเป็นวงๆ จากน้ำซึมบริเวณฝ้า จนฝ้าบวมน้ำ เมื่อฝ้าแบกรับน้ำหนักของน้ำไม่ไหวก็จะพังลงมา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับฝ้าที่มีห้องน้ำอยู่ด้านบน

–> การแก้ไขในเบื้องต้น ให้ทำการเปิดฝ้าในส่วนที่เป็นคราบน้ำก่อนเพื่อทำการสังเกต สำรวจและเอาฝ้าในบริเวณที่เปียกชื้นออกให้หมด ซ่อมท่อ ตัดข้อต่อ ส่วนที่รั่วออกแล้วเปลี่ยนใหม่ ยึดขาแขวนเพิ่มเติมให้แน่นหนา จากนั้นอย่าเพิ่งปิดฝ้าให้ทดสอบปล่อยน้ำเข้าเส้นท่อสัก 2-3 วัน ดูจนแน่ใจว่าไม่มีน้ำหยดออกมา จึงซ่อมแซมฝ้าเพดานที่เปิดออกและทาสีให้เรียบร้อยดังเดิม

ท่อน้ำในผนังรั่วซึม ท่อน้ำในผนัง ได้แก่ ท่อที่จ่ายน้ำไปยังอุปกรณ์ต่างๆ เช่น อ่างล้างหน้า ฝักบัว ชักโครก ก๊อกน้ำทั่วไป ฯลฯ การหาจุดรั่วซึมของท่อน้ำที่ฝังอยู่ในผนังสามารถสังเกตได้ง่ายจากจุดที่สีทาผนังมีการปูดบวมหรือลอกร่อน ชื้น หรือขึ้นราดำเป็นทางหรือเป็นเส้นตรงไปตามแนวท่อ แต่ผนังในห้องน้ำอาจดูยาก เพราะส่วนใหญ่จะปูกระเบื้องทับหน้าไว้ น้ำที่ไหลซึมก็มักซ่อนตัวอยู่หลังแผ่นกระเบื้องแล้วไหลรวมตัวกันสู่กระเบื้องแถวล่างๆ หรือพื้น ทำให้ประเมินได้ยากว่ารอยรั่วนั้นเริ่มจากตรงไหน เว้นแต่ต้องเลาะกระเบื้องออกเป็นพื้นที่กว้างจึงจะพบต้นเหตุของปัญหา

–> การแก้ไขในเบื้องต้นหลังจากที่ได้พบรอยซึมน้ำบนผนังแล้วก็ต้องสกัดผิวผนังด้วยค้อนหรือใช้สว่านไฟฟ้าแบบเจาะกระแทก ค่อยๆเจาะ ค่อยๆทำ อย่าให้รุนแรงจนกระทบกระเทือนไปถึงโครงสร้างอาคารเดียวปัญหาจะลุกลามใหญ่โต ถ้าต้องใช้เครื่องตัดไฟเบอร์ช่วยกรีดผนังก็ต้องทำใจว่า ฝุ่นผงปูนจะฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง แต่การทำงานก็จะรวดเร็วกว่าการสกัดและไม่สร้างความสะเทือนแก่ตัวอาคาร เมื่อเปิดผิวปูนออกจนพบจุดรั่วซึมแล้ว ให้ต่อท่อพีวีซีนั้นเสียใหม่ เมื่อซ่อมเสร็จเรียบร้อยก็ทดลองปล่อยน้ำเข้าเส้นท่อสัก 2-3 วันเพื่อให้แน่ใจว่าจุดที่ซ่อมแซมนั้นไม่มีน้ำรั่วซึมออกมาอีก จากนั้นจึงใช้ปูนฉาบประเภทที่ใช้สำหรับงานซ่อมแซมอุดฉาบปิดให้เรียบร้อย ทิ้งให้ผิวปูนแห้งสนิทแล้วจึงซ่อมสีต่อไป

การรั่วซึมแบบหาจุดไม่เจอ ถ้าทำตามวิธีในข้อที่ 2 ทั้งหมดแล้วยังหาจุดรั่วไม่พบ ให้ลองตรวจสอบอีก 2 ตำแหน่งคือ ตำแหน่งท่อจากมิเตอร์ไปยังถังเก็บน้ำ และ ตำแหน่งท่อจากถังเก็บน้ำไปยังตัวบ้าน ซึ่งในบางครั้งท่อเหล่านี้อาจฝังอยู่ใต้ดิน ให้ทดสอบด้วยการปิดวาล์วของท่อน้ำก่อนเข้าถังเก็บน้ำ หากมิเตอร์ยังคงหมุนอยู่ก็แสดงว่าจุดที่รั่วซึมจะต้องอยู่ในท่อจากมิเตอร์ไปยังถังเก็บน้ำ หากไม่หมุนก็อาจเป็นไปได้ที่จุดรั่วซึมอาจจะอยู่ในท่อจากถังเก็บน้ำไปยังตัวบ้าน หากยังหาไม่พบผู้รับเหมาควรแจ้งให้เจ้าของบ้านติดต่อเจ้าหน้าที่ประปา ให้มาทำการตรวจสอบหาตำแหน่งท่อที่รั่วซึม โดยเจ้าหน้าที่ประปาจะมีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบท่อน้ำรั่วซึมโดยเฉพาะทำให้สามารถทราบจุดที่เกิดน้ำรั่วซึมได้ จากนั้นจึงค่อยลงมือทำการซ่อมแซมต่อไปค่ะ


15
สินค้าโปรโมชั่น โพสขายฟรี / หมอประจำบ้าน: ตะขาบกัด
« เมื่อ: วันที่ 7 สิงหาคม 2025, 17:11:35 น. »
หมอประจำบ้าน: ตะขาบกัด

ตะขาบมักไม่มีพิษร้ายแรง นอกจากทำให้บริเวณที่ถูกกัดมีอาการบวมแดงและปวดเล็กน้อย แต่บางรายอาจมีอาการปวดรุนแรงได้

น้อยรายที่อาจทำให้มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีคนถูกตะขาบกัดตาย

สาเหตุ

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทาบริเวณที่ถูกกัดด้วยแอมโมเนีย หรือครีมสเตียรอยด์

2. ถ้าปวด ให้กินยาแก้ปวด และใช้น้ำแข็งประคบ

3. ถ้าปวดมาก ใช้ยาชาฉีดตรงบริเวณที่ปวด

4. ถ้าปวดศีรษะ มีไข้ ให้ยาแก้ปวดลดไข้ และควรให้นอนพัก มักจะหายได้ภายใน 12 ชั่วโมง

การดูแลตนเอง

ทาบริเวณที่ถูกกัดด้วยแอมโมเนียหรือยาหม่อง ใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นประคบ ให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีอาการปวดแผลมาก หรือกินยาแก้ปวดไม่ได้ผล

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้   ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา  จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร  ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

หน้า: [1] 2 3 ... 70