แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 64
1
จุดไหนของโรงงาน ต้องการฉนวนกันความร้อนที่สุดในหน้าร้อน

ใครก็ตามที่ทำงานโรงงาน หรือเป็นผู้ประกอบการโรงงานย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า สภาพบรรยากาศภายในโรงงานนั้นถือได้ว่าร้อนกว่าออฟฟิศปกติทั่วไปมาก ซึ่งการที่มีความร้อนสะสมในโรงงานสูง ๆ นั้น จะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นเอง การติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” ภายในโรงงานจึงเป็นเสมือนกับการอุดรูรั่วไม่ให้กำไรรั่วไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหน้าร้อนเมษายนของทุกปี ที่ความร้อนจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลเสียต่อโรงงานมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน โดยพื้นที่เร่งด่วนที่ควรติด ฉนวนกันความร้อน ในหน้าร้อนสำหรับโรงงานนั้น มีดังต่อไปนี้


1.บริเวณหลังคาหลังโรงงาน

หลังคาโรงงานอุตสาหกรรมคือส่วนที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด และมีขนาดใหญ่เป็นแนวราบไปตามขนาดของโรงงาน ทำให้ตลอดทั้งกลางวันนั้นดูดซับความร้อนสะสมเอาไว้เป็นจำนวนมาก ยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่กลางวันยาวนานกว่ากลางคืน และอุณหภูมิสูงกว่าช่วงฤดูกาลอื่น ๆ ก็ยิ่งทำให้หลังคาโรงงานต้องสะสมความร้อนเอาไว้มากกว่าปกติ

ดังนั้น หากบริเวณหลังคาโรงงานซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหลังคาเมทัลชีทที่ดูดความร้อนนำความร้อนได้ดี ไม่มีการเสริม ฉนวนกันความร้อนสำหรับหลังคาโรงงาน เอาไว้ ความร้อนก็จะทะลุเข้าส่วนตัวโรงงานและทำให้เครื่องจักรทำงานหนักขึ้น พนักงานทำงานได้ประสิทธิภาพด้อยลงมากขึ้นเท่านั้น


2.บริเวณระบบปรับอากาศ

แน่นอนว่าเมื่อโรงงานร้อน สิ่งที่จะทำให้ทุกคนทำงานกันได้ในบรรยากาศที่ดีขึ้นก็คือเปิดแอร์ ยิ่งร้อนเท่าไร เครื่องปรับอากาศภายในโรงงานทั้งหมดก็จะยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้น แต่ในความเย็นที่ระบบปรับอากาศให้ได้ ก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานของระบบปรับอากาศที่หนักขึ้น และคายความร้อนออกมามากขึ้นกว่าเดิม เหมือนเวลาที่เราไปยืนตรงคอมเพลสเซอร์แอร์แล้วมีไอร้อนออกมานั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ ในระบบปรับอากาศของโรงงานซึ่งมักมีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไป ก็จำเป็นต้องมีการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานระบบปรับอากาศ เอาไว้ด้วย เพื่อช่วยลดความร้อนที่ระบายออกมาจากระบบปรับอากาศ และช่วยแบ่งเบาภาระให้ระบบปรับอากาศยังคงทำงานได้อย่างเป็นปกติ ไม่หนักเกินไปจนเสียหายชำรุดพังได้ง่ายกว่าปกติ


3.บริเวณห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง

ถือเป็นอีกจุดสำคัญเลยที่ต้องการฉนวนกันความร้อน เพราะห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูงนั้น หากได้รับการสะสมความร้อนจากภายนอกเพิ่มเติมมาก ๆ โดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน ลด หรือระบายความร้อนออกเลย โอกาสที่เครื่องจักรจะทำงานหนักเกินไปจนเกิดการ Over Heat ก็มีสูง ซึ่งถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรเสี่ยง เพราะหากเกิดความขัดข้องขึ้นกับเครื่องจักรที่เป็นกำลังหลักในกระบวนการผลิต จะไม่เพียงแค่เรื่องค่าซ่อมแซมเท่านั้น

แต่นั่นหมายความว่ากระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างประเมินมูลค่าไม่ได้ หรือหากเกิดความร้อนจนกลายเป็นอุบัติเหตุขึ้น ก็อาจไม่ใช่แค่ความเสียหายต่อทรัพย์สินเท่านั้น แต่อาจลุกลามไปถึงความเสียหายในเรื่องของชีวิตและความปลอดภัยพนักงานรวมถึงคนในชุมชนด้วย ดังนั้น สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมใดก็ตามที่มีเครื่องจักรที่ทำงานภายใต้อุณหภูมิสูงล่ะก็ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องติดฉนวนกันความร้อนที่ห้องเครื่องจักรนั้น

ฉนวนกันความร้อน ถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรตรวจสอบดูแลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสะสมความร้อนสูงภายในโรงงานให้ดี ให้เราได้มีเตรียมตัวป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าไฟที่สูงขึ้น เครื่องจักรทำงานหนักเกินไป หรืออุบัติเหตุที่ทำให้พนักงานทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคลมร้อน (Heat stroke)

โรคลมร้อน (โรคลมแดด ฮีตสโตรก ก็เรียก) เป็นภาวะการเจ็บป่วยฉุกเฉินร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายสูญเสียกลไกปรับอุณหภูมิ* ไม่สามารถกำจัดความร้อน เป็นเหตุให้มีการสะสมความร้อนภายในร่างกายสูงมากจนส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง หัวใจ ตับและไต ซึ่งอาจมีอันตรายถึงเสียชีวิต มักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเผชิญกับคลื่นความร้อน (ซึ่งเกิดขึ้นในฤดูร้อน) หรือออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมท่ามกลางอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี) ผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุมากกว่า 65 ปี) คนอ้วน ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคหลอดเลือดสมอง พาร์กินสัน เป็นต้น) ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือขาดการออกกำลังกาย


นอกจากนี้ ผู้ที่กินยาบางชนิดที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย (เช่น ยารักษาโรคจิตประสาท ยาแก้แพ้ ยาที่ออกฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิก ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา เป็นต้น) ผู้ที่เสพยา (โคเคน แอมเฟตามีน) ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น

*ร่างกายของคนเราจะปรับอุณหภูมิให้อยู่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส (98.6 องศาฟาเรนไฮต์) อยู่ตลอดเวลา ถ้าร่างกายมีการสะสมความร้อนมาก (เช่น การเผาผลาญอาหาร การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อร่างกาย) ก็จะกำจัดความร้อนออกจากร่างกายโดยการแผ่รังสี (ความร้อนจะกระจายออกจากร่างกายที่ร้อนกว่าไปยังอากาศภายนอกที่เย็นกว่า แต่ถ้าอากาศภายนอกร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียส หรือร้อนกว่าร่างกาย ร่างกายก็ไม่สามารถแผ่รังสีความร้อนออกไปข้างนอก) และระบายออกทางเหงื่อ (จะเกิดขึ้นเมื่ออากาศภายนอกร้อนกว่าร่างกาย หรือขณะออกกำลังกาย แต่ถ้าอากาศภายนอกมีความชื้นสูง ก็จะทำให้การระบายความร้อนออกทางเหงื่อด้อยประสิทธิผลลงไป) ดังนั้นการกำจัดความร้อนของร่างกายจะเป็นไปได้ยากเมื่ออยู่ในอากาศที่ร้อนและชื้น

สาเหตุ

1. เกิดจากการเผชิญกับอากาศร้อน เช่น การเกิดคลื่นความร้อน (คือ อุณหภูมิสูงผิดปกติอยู่เป็นเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์*) อาจทำให้เกิดโรคลมร้อนหรือฮีตสโตรกในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ร่างกายอ่อนแอจากภาวะการเจ็บป่วยซึ่งอยู่ในห้องที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือการถ่ายเทอากาศไม่ดี

2. เกิดจากการออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงกายอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อนและชื้น ในที่กลางแดด หรือในห้องที่ร้อนและปิดมิดชิด ร่างกายจะสร้างความร้อนมากเกินกว่าที่สามารถกำจัดออกไปได้ มักพบในนักกีฬา นักวิ่งมาราธอน นักปั่นจักรยานทางไกล นักขับรถแข่ง ทหาร (ที่ฝึกอยู่กลางแดด) คนงานก่อสร้าง เกษตรกร คนเร่ร่อน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอายุไม่มาก

3. ในเด็กเล็กที่ติดอยู่ในรถยนต์ที่ปิดประตูหน้าต่างอยู่กลางแดดเปรี้ยง ก็อาจได้รับอันตรายจากความร้อนร่วมกับภาวะขาดอากาศหายใจ

สาเหตุเหล่านี้ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดความร้อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่หนา รัดรูป หรือไม่สามารถระบายความร้อนได้ ร่างกายมีภาวะขาดน้ำ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลส่งเสริมให้ร่างกายสูญเสียกลไกปรับอุณหภูมิมากยิ่งขึ้น) ทำให้มีอุณหภูมิแกน (core temperature โดยการวัดทางทวารหนัก) ขึ้นสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ความร้อนจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ ถูกทำลายจนทำหน้าที่ผิดปกติไป และเกิดปฏิกิริยาการอักเสบของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง

*คลื่นความร้อน (heat waves) คือปรากฏการณ์ที่เกิดจากอากาศร้อนจัดสะสมอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในแผ่นดิน หรือพัดพามากับกระแสลมแรงจากทะเลทราย เกิดเป็นคลื่นความร้อน ทำให้เกิดความแปรปรวนของความร้อนในอากาศ อุณหภูมิสูงผิดปกติอยู่เป็นเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์

ดัชนีค่าความร้อนขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศและแต่ละภูมิภาค สำหรับประเทศไทยกำหนดเกณฑ์ว่า อากาศร้อนมีอุณหภูมิระหว่าง 35-39.9 องศาเซลเซียส และอากาศร้อนจัดมีอุณหภูมิตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป

องค์การอนามัยโลก รายงานว่า ระหว่างปี 2541-2560 ทั่วโลกมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคลมร้อนจากคลื่นความร้อนมากกว่า 166,000 ราย (ซึ่งพบในประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และอินเดียเป็นส่วนใหญ่) เฉพาะในปี 2546 คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศทางยุโรป ทำให้มีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 70,000 ราย

จากรายงานของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี 2558-2562 พบผู้เสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อนทุกปี (ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม) จำนวน 56, 60, 24 ,18 และ 57 รายตามลำดับ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงจัด ร่วมกับอาการทางสมอง (เช่น เดินเซ สับสน พฤติกรรมแปลก ๆ ประสาทหลอน เพ้อคลั่ง ชัก หมดสติ) และมีประวัติเผชิญคลื่นความร้อน ออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่ที่อากาศร้อน หรือติดอยู่ในรถยนต์ที่จอดอยู่กลางแดดร้อนนาน ๆ

ก่อนมีอาการทางสมองนับเป็นนาที ๆ ถึงชั่วโมง ๆ ผู้ป่วยมักมีอาการอื่น ๆ นำมาก่อน เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ปวดศีรษะแบบตุบ ๆ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเป็นตะคริว กระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว หายใจตื้นและเร็ว เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

มีผลกระทบต่ออวัยวะแทบทุกส่วน เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

    หัวใจ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เลือดออกใต้เยื่อบุหัวใจ (subendocardial hemorrhage)
    ปอด ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ปอดอักเสบจากการสำลัก (aspiration pneumonia) ภาวะเลือดเป็นด่าง (respiration alkalosis) กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS)
    ไต ไตวายเฉียบพลัน
    เลือด ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด (ทำให้มีเลือดออกง่าย) ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (DIC)
    กล้ามเนื้อ เซลล์กล้ามเนื้อถูกทำลาย (rhabdomyolysis) มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปัสสาวะสีดำหรือสีโคล่า
    สมอง อัมพาตครึ่งซีก หมดสติ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง เดินเซ ชัก
    ตับ ดีซ่าน เซลล์ตับตาย (hepatocellular necrosis) ตับวาย
    อิเล็กโทรไลต์ ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำหรือสูง ภาวะเเคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะโซเดียมในเลือดสูง ภาวะเลือดเป็นกรดจากกรดแล็กติก (lactic acidosis) ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะยูริกในเลือดสูง

โรคลมจากความร้อน,ภาวะแทรกซ้อน
 

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

ไข้ (วัดทางทวารหนัก) มากกว่า 40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจสูงถึง 47 องศาเซลเซียส) แต่ถ้ามีการปฐมพยาบาลด้วยการลดอุณหภูมิร่างกายมาก่อนก็อาจตรวจไม่พบไข้หรือไข้ไม่สูงมาก

มีอาการหน้าแดง ผิวหนังออกร้อน ในกลุ่มที่เกิดจากคลื่นความร้อนอาจพบผิวหนังแห้ง ไม่มีเหงื่อ ส่วนในกลุ่มที่ออกกำลังกายมากอาจพบผิวหนังแห้งหรือมีเหงื่อออกเล็กน้อยก็ได้

ชีพจรเต้นเบาและเร็ว หายใจตื้นและเร็ว

ความดันโลหิตอาจสูงหรือต่ำ หรือแรงชีพจร (pulse pressure) กว้าง (ความดันช่วงล่างหรือไดแอสโตลีต่ำ)

อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อนของระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น ชัก หมดสติ เพ้อคลั่ง พฤติกรรมแปลก ๆ เดินเซ รูม่านตาโตทั้ง 2 ข้างและไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง จ้ำเขียวตามตัว ถ่ายเป็นเลือด ไอเป็นเลือด ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย

อาจพบกล้ามเนื้อเป็นตะคริว (เป็นก้อนเกร็งแข็ง) หรืออ่อนปวกเปียก

แพทย์จะทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เจาะหลังนำน้ำไขสันหลังมาตรวจ เป็นต้น เพื่อประเมินอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ รวมทั้งตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกับโรคนี้


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษา ดังนี้

    ทำการแก้ไขภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับการหายใจ (เช่น ให้ออกซิเจน ใช้เครื่องช่วยหายใจ) ให้สารน้ำ (normal saline หรือ lactate ringer’s solution) ทางหลอดเลือดดำ
    รีบทำการลดอุณหภูมิร่างกายโดยเร็ว วิธีที่นิยมใช้กัน ได้แก่ การแช่ตัวผู้ป่วยในอ่างน้ำที่ผสมน้ำแข็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าวิธีอื่น และมักใช้เป็นวิธีแรกในการลดอุณหภูมิร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่เกิดจากการออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงกายอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อน*

ส่วนวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า ได้แก่ การพ่นฝอยละอองน้ำเย็น (ประมาณ 15 องศาเซลเซียส) ตามผิวกายของผู้ป่วยจนทั่วและใช้พัดลมขนาดใหญ่เป่า, การวางถุงน้ำแข็งตามศีรษะ คอ รักแร้ เเละขาหนีบ

บางกรณีแพทย์อาจใช้วิธีให้สารน้ำที่เย็นทางหลอดเลือดดำ บางรายอาจใช้วิธีสวนล้างกระเพาะอาหารหรือทวารหนักด้วยน้ำเย็น และในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจใช้วิธีสวนล้างช่องท้องด้วยน้ำย็น

แพทย์จะทำการติดตามวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก พยายามทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงมาที่ประมาณ 39 องศาเซลเซียส และจะไม่ทำการลดให้ต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายลดลงต่ำเกินไป (over hypothermia)*

    ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อประเมินอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แล้วทำการแก้ไขภาวะผิดปกติตามที่ตรวจพบ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้ (นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น แอสไพรินส่งเสริมให้เลือดออก พาราเซตามอลอาจมีพิษต่อตับ) และยาที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคนี้ เช่น ยาที่ออกฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิก
    ถ้ามีอาการหนาวสั่น ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้น แพทย์จะบรรเทาอาการหนาวสั่นโดยให้ยาที่ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง เช่น กลุ่มยาเบนโซไดอะซีพีน (benzodiazepine เช่น ลอราซีแพม ไมดาโซแลม)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นก่อนมาถึงโรงพยาบาล ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องได้เร็ว ก็มีโอกาสรอดชีวิตถึงร้อยละ 90

แต่ถ้าปล่อยให้มีอาการนานเกิน 2 ชั่วโมงจึงได้รับการรักษา มีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 70


บางรายเมื่อรักษาจนฟื้นตัวดีแล้ว อาจมีอุณหภูมิแกว่งขึ้นลงอยู่นานนับสัปดาห์

บางรายอาการทางสมองอาจหายไม่สนิท มีบุคลิกภาพเปลี่ยนไป ท่าทางงุ่มง่าม หรือกล้ามเนื้อทำงานประสานกันไม่ดี

*อ้างอิง : Wilderness Medical Society Clinical Practice Guidelines for the Prevention and Treatment of Heat Illness: 2019 Update-Wilderness & Environmental Medicine (https://www.wemjournal.org/article/S1080-6032(18)30199-6/fulltext)

การดูแลตนเอง

หากเผชิญคลื่นความร้อน หรือออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่กลางแดดหรือที่อากาศร้อน หรือติดอยู่ในรถที่จอดอยู่กลางแดดร้อนนาน ๆ แล้วมีอาการตัวร้อน ปวดศีรษะแบบตุบๆ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการทางสมอง (เช่น เดินเซ สับสน พฤติกรรมแปลก ๆ ประสาทหลอน เพ้อคลั่ง ชัก หรือหมดสติ) ควรทำการปฐมพยาบาลและนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

การปฐมพยาบาล

เมื่อพบผู้ป่วยมีไข้สูง ร่วมกับอาการทางสมอง และมีประวัติถูกคลื่นความร้อน ออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่ร้อน ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลด่วน

ก่อนนำส่งโรงพยาบาล ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

    พาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม ในรถปรับอากาศ ห้องที่มีความเย็นหรือห้องแอร์
    ถอดเสื้อผ้าให้เหลือเท่าที่จำเป็น
    ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ และขาหนีบ
    ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดีให้ดื่มน้ำเย็น เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย
    ถ้าผู้ป่วยหมดสติ จับศีรษะหันให้หน้าเอียงไปทางข้างใดข้างหนึ่ง (เพื่อป้องกันการสำลัก) และให้การปฐมพยาบาลอาการหมดสติเพิ่มเติม ดังนี้

- ใช้นิ้วล้วงเอาอาเจียน เสมหะ ฟันปลอม สิ่งแปลกปลอมออกจากปากของผู้ป่วย

- ห้ามให้ผู้ป่วยกินหรือดื่มอะไรทางปาก

- ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น

- ให้ทำการกู้ชีวิต (ดูหัวข้อ "CPR")

    ถ้ามีอาการชักร่วมด้วย ให้การปฐมพยาบาลอาการชักเพิ่มเติม ดังนี้

- ป้องกันอันตรายหรือการบาดเจ็บ โดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในพื้นที่โล่งและปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือระเกะระกะอยู่ข้างกาย

- ถ้ามีเศษอาหาร เสมหะ หรือฟันปลอม ให้นำออกจากปาก ถ้าผู้ป่วยใส่แว่นตาควรถอดออก

- อย่าใช้วัตถุ (เช่น ไม้ ด้ามช้อน ปากกา ดินสอ) สอดใส่ปากผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กัดลิ้น เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจทำให้ปากและฟันได้รับบาดเจ็บได้

- อย่าผูกหรือมัดตัวผู้ป่วย อาจทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บได้

- อย่าให้ผู้ป่วยกินอะไรระหว่างชักหรือหลังชักใหม่ ๆ อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักได้

    นำส่งโรงพยาบาลโดยรถปรับอากาศ หรือเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท

การป้องกัน

ในการป้องกันอันตรายจากความร้อน (อากาศร้อน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดหรือเป็นโรคประจำตัว ควรปฏิบัติดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือใช้แรงกายในที่ที่อากาศร้อนและชื้น

2. ถ้าจำเป็นต้องออกกำลังกายหรือใช้แรงกายในที่กลางแดดหรืออากาศร้อน ควรปฏิบัติดังนี้

    ก่อนออกกำลังควรดื่มน้ำ 400-500 มล. (ประมาณ 2 แก้ว) และระหว่างออกกำลังควรดื่มน้ำ 200-300 มล. (ประมาณ 1 แก้ว) เป็นระยะ ๆ (ประมาณทุก 20 นาที) เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
    ควรสวมเสื้อผ้าบาง ๆ หลวม ๆ มีลักษณะสีอ่อน และระบายความร้อนได้ดี
    เมื่อออกกลางแดด ควรสวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นกันแดด และทายากันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป
    หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำ เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการกินยาที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย
    ไม่ควรอยู่ในที่กลางแดดหรืออากาศร้อนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ควรกางร่มหรือหลบเข้าที่ร่มเป็นพัก ๆ

3. ในช่วงที่มีคลื่นความร้อน (อากาศร้อน) ควรอยู่ในห้องปรับอากาศ หรือในบ้านที่เปิดประตูหน้าต่าง มีพัดลมเป่าให้อากาศถ่ายเทสะดวก (อย่าอยู่ในห้องปิด หรือที่อับไม่มีอากาศถ่ายเท) ควรอาบน้ำบ่อย ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ สวมเสื้อผ้าบาง ๆ หลวม ๆ สีอ่อนและเท่าที่จำเป็น

4. สำหรับเด็กเล็ก ไม่ควรปล่อยเด็กไว้ในรถยนต์ตามลำพังแม้เพียงเดี๋ยวเดียว เมื่อไม่ใช้รถควรปิดประตูรถทุกครั้ง และเก็บกุญแจรถไว้ในที่มิดชิดหรือที่เด็กเอื้อมไม่ถึง

ข้อแนะนำ

1. โรคลมร้อน (heat stroke) เป็นโรคที่เกิดจากความร้อน (heat-related illness) ชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ความร้อน (อากาศร้อน) อาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้อีกหลายลักษณะ* ดังนั้นเมื่อเผชิญกับความร้อนแล้วมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ควรสังเกตตัวเองว่าเป็นภาวะที่มีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด และให้การดูแลรักษาที่เหมาะสม

2. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกิดจากความร้อน ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ผู้ที่กินยาบางชนิดที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย ดังนั้นเมื่อเผชิญกับอากาศร้อน ควรระมัดระวังตัว และรู้จักหาทางป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเพลียแดด และโรคลมร้อน

*อาการเจ็บป่วยที่เกิดจากความร้อน ที่สำคัญ ได้แก่
1. ภาวะเป็นลมจากความร้อน (heat syncope) เกิดจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ความดันโลหิตลดลง เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ขณะลุกขึ้นยืนเร็ว ๆ หรือยืนนาน ๆ ก็จะเกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลมหมดสติชั่วขณะ แล้วฟื้นคืนเป็นปกติได้เอง นับว่าเป็นภาวะที่มีความรุนแรงน้อย

การรักษา ควรรีบพาเข้าในที่ร่ม ให้ผู้ป่วยนอนราบหรือนั่ง ปลดเสื้อผ้าให้หลวมสบาย และให้ดื่มน้ำ (น้ำเย็น น้ำผลไม้ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่) หากพบในผู้สูงอายุหรือมีอาการกำเริบบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะผิดปกติอื่น ๆ

2. ตะคริวจากความร้อนหรือตะคริวแดด (heat cramps) เกิดจากความร้อนทำให้เหงื่อออกมาก ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เกิดอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริว ซึ่งมักเป็นที่น่อง ต้นขา และไหล่

การรักษา ควรรีบพาเข้าที่ร่ม ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำกับเกลือแร่ (สารละลายน้ำตาลเกลือแร่) ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 1 ชั่วโมง หรือสงสัยเป็นภาวะหมดแรงจากความร้อนหรือโรคเพลียแดด (ซึ่งมักมีอาการเป็นตะคริวร่วมกับไข้และอาการอื่น ๆ) ควรรีบไปพบแพทย์

3. ภาวะหมดแรงจากความร้อนหรือโรคเพลียแดด (heat exhaustion) มีสาเหตุจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างมาก จากการมีเหงื่อออกมากหรือมีภาวะขาดน้ำที่รุนแรง มักเกิดอาการขณะออกกำลังหรือทำงานใช้แรงกายอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อน ผู้ป่วยจะมีอาการเหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เป็นลม กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือปวดเมื่อย กระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย โดยไม่มีอาการผิดปกติของสมองหรือภาวะแทรกซ้อนเช่นเดียวกับโรคลมร้อน การตรวจวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก มีค่าระหว่าง 37-40 องศาเซลเซียส (ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส) อาจพบผิวหนังซีด เย็น มีเหงื่อชุ่ม ชีพจรเต้นเบาและเร็ว ความดันโลหิตลดต่ำลงในท่ายืน (ภาวะความดันเลือดตกในท่ายืน มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน และทุเลาเมื่อนอนราบ) ภาวะนี้ถ้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ อาจรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นโรคลมร้อน เป็นอันตรายได้

การรักษา รีบพาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม ในรถปรับอากาศ ห้องที่มีความเย็นหรือห้องแอร์, ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกเท้าสูงเล็กน้อย ปลดเสื้อผ้าให้หลวมสบาย, ให้ดื่มน้ำ (น้ำเย็น น้ำผลไม้ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่), ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ และขาหนีบ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 15 นาที หรือสงสัยเป็นโรคลมร้อน ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน

4. โรคลมร้อน (ฮีตสโตรก) มีไข้ (วัดทางทวารหนัก) มากกว่า 40 องศาเซลเซียส ร่วมกับอาการทางสมอง ผิวหนังออกแดง ร้อน และแห้ง ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นภาวะหมดแรงจากความร้อนหรือโรคเพลียแดดนำมาก่อน หรือบางรายไม่มีก็ได้ หากพบผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคลมร้อน ควรรีบให้การปฐมพยาบาลและนำส่งโรงพยาบาลทันที การรักษาได้ทันท่วงทีจะช่วยให้ชีวิตรอดปลอดภัยได้

3
สร้างอาชีพ จากการขายคอหมูย่างสูตรโบราณ กลิ่นหอม อบอวล เคี้ยวนุ่ม ความอร่อยเหนือกาลเวลา

อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่เข้มข้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศและรสชาติที่สมดุล ในบรรดาเมนูยอดนิยมมากมายคอหมูย่างถือเป็นเมนูโปรดคลาสสิก อาหารไทยดั้งเดิมจานนี้ได้รับความนิยมมาหลายชั่วอายุคน โดยเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเนื้อนุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมควันและน้ำจิ้มรสเด็ด สูตรคอหมูย่างโบราณพร้อมเคล็ดลับความอร่อย:

คอหมูย่างคืออะไร?
คอหมูย่างเป็นคอหมูย่างแบบไทยๆ ที่หมักและย่างไฟอ่อนๆ บนเตาถ่านเพื่อให้ได้ความกรอบและความนุ่มที่ลงตัว แตกต่างจากหมูย่างทั่วไป ตรงที่ใช้คอหมูย่างเพราะมีอัตราส่วนไขมันต่อเนื้อที่เหมาะสมซึ่งทำให้คอหมูชุ่มฉ่ำและมีรสชาติอร่อย

ความลับเบื้องหลังสูตรดั้งเดิม

หมูย่างสูตร ดั้งเดิมของคอหมูย่างหมักด้วยสูตรหมักที่สืบทอดกันมายาวนาน ช่วยเพิ่มรสชาติตามธรรมชาติของเนื้อหมูพร้อมทั้งให้กลิ่นหอมอร่อย ส่วนผสมหลักในการหมัก ได้แก่:

กระเทียม – เพิ่มกลิ่นหอมและรสเผ็ด
รากผักชี – ให้รสชาติดินและกลิ่นส้มเล็กน้อย
พริกไทยดำ – เพิ่มความเผ็ดร้อน
น้ำปลา – ช่วยให้มีรสอูมามิที่เข้มข้น
ซอสหอยนางรม – เพิ่มความหวานและความเข้มข้นเล็กน้อย
น้ำตาลปาล์ม – ช่วยให้พื้นผิวเป็นคาราเมลขณะย่าง
ซีอิ๊วขาว – ปรับสมดุลความเค็มและเพิ่มสีสัน
หมักหมูไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง (หรือหมักข้ามคืนเพื่อรสชาติที่เข้มข้น) ก่อนจะนำไปย่างบนถ่าน เพื่อให้ไขมันละลายช้าๆ ทำให้ชั้นนอกกรอบในขณะที่ด้านในยังคงความชุ่มฉ่ำ

เคล็ดลับความอร่อย:
การหมักหมูข้ามคืนจะทำให้รสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้น
การย่างบนเตาถ่านจะทำให้คอหมูย่างมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
ระหว่างย่างให้ทาเครื่องหมักที่เหลืออยู่บนเนื้อหมูเป็นระยะ เพื่อเพิ่มความชุ่มฉ่ำและรสชาติ
เสริฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ และน้ำจิ้มแจ่ว จะเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น

วิธีรับประทานคอหมูย่าง
เกาเหลาหมูย่างเสิร์ฟคู่กับ น้ำจิ้ม แจ่วซึ่งเป็นน้ำจิ้มรสเผ็ดเปรี้ยวที่ทำจาก:
น้ำปลา
น้ำมะนาว
ผงข้าวคั่ว
พริกป่น
น้ำตาลมะพร้าว
ผักชีและต้นหอมซอย
เนื้อหมูรมควันที่นุ่มลิ้นผสมผสานกับน้ำจิ้มรสเผ็ด เปรี้ยว และอูมามิ สร้างสรรค์รสชาติที่ระเบิดความอร่อยที่มิอาจลืมเลือน

การจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ
หากต้องการสัมผัสรสชาติแบบไทยแท้ ให้ทานเกาเหลาหมูย่าง คู่ กับ:
✔ ข้าวเหนียว (ข้าวเหนียว) – เพิ่มความนุ่มและเคี้ยวหนึบให้กับจานอาหาร
✔ ผักสด – เช่น แตงกวา กะหล่ำปลี และโหระพา เพื่อความสมดุลกับรสชาติ
✔ ส้มตำ – เพิ่มความกรุบกรอบสดชื่นและรสเผ็ดร้อน

ทำไมคุณถึงควรลองอาหารไทยคลาสสิกนี้
คอหมูย่างไม่ได้เป็นแค่เพียงอาหารย่างเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของอาหารไทยแบบดั้งเดิมอีกด้วย รสชาติที่สมดุลอย่างพิถีพิถัน วิธีการย่างไฟอ่อน และน้ำจิ้มสูตรโฮมเมด ทำให้กอหมูย่างเป็นเมนูที่ต้องลองชิมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารไทย

ไม่ว่าคุณจะทำเองที่บ้านหรือจะลองชิมที่แผงขายอาหารริมทางในประเทศไทย คอหมูย่างรับรองว่าจะมอบประสบการณ์ความหอมควัน ชุ่มฉ่ำและรสชาติกลมกล่อมทุกครั้ง

4
ปล่อยรถราคาพิเศษ NEW HONDA HR-V e:HEV RS TOP ปี 2025 โปรโมชั่นพิเศษ

ฮอนด้า Honda HR-V e:HEV RS ปี 2024
Honda HR-V e:HEV RS ยนตรกรรมเอสยูวียอดนิยมของคนยุคใหม่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนตัวตนในแบบของคุณเดินทางแบบไร้กังวล กับระบบ Full Hybrid e:HEV แรง เร่งได้ดั่งใจ ประหยัดน้ำมันเกินคาดฟังก์ชันและเทคโนโลยีครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่คุณต้องการสัมผัสอิสระของชีวิตวันนี้ เพื่อขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบกำลังสูงสุดทั้งระบบได้ถึง 131 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 24 เม.ย. - 31 พ.ค. 2568
Warranty นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
รับประกันระบบ Hybrid นาน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
รับประกันแบตเตอรี่ Hybrid นาน 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ราคาพิเศษ 1,059,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                      เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 106 แรงม้า แรงบิด 127 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) / มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลังสูงสุดได้ 131 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร

ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      1,498 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   106 แรงม้า
ระบบเกียร์                     เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                   E-CVT
ระบบเบรค ABS               มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง       เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91,เบนซิน E20,ไฮบริด
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        40 ลิตร
ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI
น้ำหนักตัวรถ                   1,404 กก.
ประเภทยางรถยนต์                -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                  ล้ออัลลอย (18 นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                 ขับเคลื่อนล้อหน้า


5
ซ่อมบำรุงอาคาร: โหมดทำงานของแอร์ เลือกใช้งานให้ถูก ประหยัดไฟได้เยอะ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มีความจำเป็นอย่างมากในอากาศที่ร้อนอบอ้าว เชื่อว่า มีแทบทุกบ้าน เพราะมีความจำเป็นสำหรับใครหลายๆคน เนื่องจากอากาศในบ้านเราต้องบอกว่า มีอากาศที่ร้อนแทบจะตลอดทั้งปี ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้ในการคลายร้อน ทำให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่เราก็ต้องแลกกับค่าไฟที่ต้องเพิ่มมากขึ้น แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

แต่ก็มีหลายบ้านที่มักจะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้พักแอร์เลย ก็ทำให้แอร์ต้องทำงานหนัก และสกปรกได้ง่าย เพราะยิ่งเราเปิดแอร์ ก็ยิ่งทำให้แอร์มีการสะสมของฝุ่นเป็นจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งการใช้งานแอร์ที่หนักเกินไปนั้น ทำให้เราต้องทำความสะอาดแอร์บ่อยๆ แต่ยิ่งเราเปิดแอร์ตลอดทั้งวัน ค่าไฟก็จะยิ่งพุ่งสูงเป็นธรรมดา เพราะแอร์ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างเปลืองไฟ แต่ก็มีเทคนิคที่จะช่วยให้เราประหยัดค่าไฟฟ้าไปได้เยอะ เพียงแค่เราใช้งานแอร์อย่างถูกต้อง คือ ใช้โหมดการทำงานของแอร์ที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้เราประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำโหมดการทำงานของแอร์ ที่ถ้าหากเราเลือกใช้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้านของเราได้เยอะ

ก่อนที่เราจะเลือกใช้โหมดแอร์นั้น เราต้องมาทำความรูจักกับโหมดแอร์ทั้ง 4 โหมดก่อนว่าคืออะไรบ้าง โหมดแรกคือ Cool Mode คือ โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยให้แอร์ทำความเย็น ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ในแต่ละห้อง เมื่อแอร์ถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้ แอร์จะตัดการทำงานทันที จึงเหมาะสำหรับใช้งานในช่วงหน้าร้อนที่ต้องการความเย็นตามที่ต้องการ  ต่อมาคือ Auto Mode คือ โหมดการทำงานที่หลายๆ บ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ เพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และเป็นโหมดการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งการทำงานของระบบนี้คือ การวัดค่าอุณหภูมิของแอร์ เพื่อปรับความเย็นด้วยระบบเซ็นเซอร์จากตัวแอร์

หลังจากเปิดแอร์หากอากาศภายในห้องร้อน แอร์จะปรับอัตโนมัติไปที่ โหมดการทำงานแบบ Cool Mode และหลังจากอุณหภูมิเย็นลงตามที่กำหนดไว้ จะถูกปรับเปลี่ยนไปยังโหมดการทำงานประเภท Dry Mode เพื่อป้องกันความชื้นภายในห้อง ซึ่งเหมาะสำหรับบ้านที่ชอบความสะดวกสบาย และห้องที่มีการใช้งานบ่อย ๆ และโหมดต่อมา คือ Dry Mode โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยควบคุมความชื้นในอากาศ จึงเหมาะกับห้องที่มีความชื้นในปริมาณที่มาก ซึ่งลมเย็นที่ออกมาอาจจะไม่เย็นฉ่ำเท่ากับ Cool Mode และบางช่วงอาจจะรู้สึกอึดอัด เพราะ แอร์ไม่สามารถกระจายความเย็นให้ทั่วถึงทั้งห้องได้

และสุดท้ายคือ Fan Mode คือ โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยระบายความชื้น และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ของแอร์ให้หมดไป ซึ่งหากใครเผลอไปกดเปลี่ยนเป็นโหมดการทำงานนี้ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อนออกมาได้ เพราะ ลมที่ออกมาจะเป็นลมในอุณหภูมิห้อง ไม่มีความเย็นใด ๆ ซึ่งโหมดที่หลายคนเลือกใช้ส่วนใหญ่จะเป็นโหมด Cool และ โหมด Auto เพราะใช้งานง่ายโดยที่เราไม่ต้องปรับอะไรเลย ส่วนอีก 2 โหมด โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยควบคุมความชื้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากให้ห้องมีอากาศเย็นมากขึ้น ไม่ควรปรับเครื่องปรับอากาศไปที่อุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ควรปรับไว้ที่อุณหภูมิปกติ แต่เร่งความแรงของพัดลมจากเครื่องปรับอากาศให้แรงมากขึ้นแทน นอกจากนี้ ถ้าต้องการให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ควรเปิดพัดลมไปพร้อมกับการเปิดแอร์ด้วย โดยทำการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 25-27 องศา และเปิดพัดลมช่วย นอกจากทำให้ห้องเย็นเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

6
อาการของโรคพยาธิปากขอ (Hook worm disease)

โรคพยาธิปากขอเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิปากขอ*ที่อยู่ตามพื้นดิน

โรคนี้พบได้ทุกภาคของประเทศ แต่จะพบในภาคใต้มากกว่าภาคอื่น ๆ มักพบในชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน และเด็ก ๆ ที่เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน หรือในเด็กที่ชอบเล่นคลุกดิน

*วงจรชีวิตของพยาธิปากขอ

พยาธิปากขอ (Ancylostoma duodenale และ Necator americanus) มีขนาดยาวประมาณ 1 ซม. เกาะอาศัยอยู่บนผนังลำไส้ และดูดเลือดจากบริเวณนั้น ไข่พยาธิจะหลุดออกมากับอุจจาระ ซึ่งจะเจริญเติบโตบนพื้นดินที่ชื้นและมีความอุ่น พยาธิตัวอ่อนที่ฟักตัวบนดินจะไชเข้าทางผิวหนังของคนที่เดินผ่านไปมาหรือเด็กที่เล่นคลุกดิน เข้าไปในกระแสเลือด ไปยังหัวใจและปอด จากปอดพยาธิจะเคลื่อนตัวขึ้นมาที่หลอดลมจนถึงคอหอย แล้วจะถูกกลืนลงหลอดอาหารเข้าไปในกระเพาะและลำไส้เล็ก แล้วเจริญเป็นตัวแก่ต่อไปในลำไส้เล็ก นอกจากนี้ ถ้ากินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อ พยาธิอาจไชผ่านเยื่อบุในปากและเข้ากระแสเลือดได้เช่นกัน


สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากพยาธิปากขอตัวอ่อนที่อยู่บนพื้นไชเข้าเท้าของผู้ที่เดินเท้าเปล่า หรือเกิดจากกินพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อที่ปนเปื้อนอาหารหรือน้ำดื่ม


อาการ

เมื่อพยาธิไชเข้าเท้า อาจทำให้มีตุ่มแดงคันที่ผิวหนังในบริเวณนั้น ผู้ป่วยอาจเกาจนเป็นหนอง เมื่อพยาธิเดินทางผ่านปอดใน 1-2 สัปดาห์ต่อมา อาจทำให้มีอาการหลอดลมหรือปอดอักเสบได้

แต่อาการที่พบบ่อย คือ จุกเสียดแน่นที่ยอดอก ปวดท้อง หรือท้องเดิน ถ้ามีจำนวนพยาธิมาก จะทำให้มีอาการซีด มึนงง หน้ามืด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และถ้าซีดมาก ๆ อาจทำให้มีอาการบวมหรือหัวใจวายได้

อาการมากน้อยขึ้นกับจำนวนพยาธิที่มีอยู่ในลำไส้ (อาการซีดจะเกิดขึ้นเมื่อมีพยาธิมากกว่า 100 ตัวขึ้นไป) อายุของพยาธิ ความต้านทาน และภาวะทางโภชนาการของผู้ป่วย


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบบ่อย คือ โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากการเสียเลือดเรื้อรัง หากปล่อยปละละเลยจนมีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

อาจทำให้ขาดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาดสารโปรตีน ซึ่งหากขาดโปรตีนรุนแรงอาจทำให้ท้องมาน (มีน้ำในท้อง) ได้

เด็กที่เป็นโรคพยาธิปากขอเรื้อรัง อาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า และสติปัญญาพร่อง เนื่องจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็กเรื้อรัง


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยที่แน่ชัด คือ การตรวจอุจจาระจะพบไข่พยาธิ บางรายแพทย์จะทำการตรวจเลือดดูภาวะโลหิตจาง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้ยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล หรืออัลเบนดาโซล
    ถ้าซีด ให้กินยาบำรุงโลหิตติดต่อกัน 4-6 เดือน
    ในรายที่มีภาวะหัวใจวายจากภาวะโลหิตจางรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้เลือด และให้ยารักษาภาวะหัวใจวาย


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการจุกเสียดแน่นยอดอก ปวดท้อง หรือท้องเดินบ่อย หรือมีอาการอ่อนเพลีย และหน้าตาซีดเซียว ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิปากขอ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
    สวมรองเท้าถ้าต้องเดินบนดิน (ไม่เดินเท้าเปล่า)
    หลีกเลี่ยงการเล่นคลุกบนดินทราย
    ดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด และกินอาหารที่ปรุงสุกและร้อน

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการซีดเนื่องจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ถ้าหากอยู่ในพื้นที่ที่มีพยาธิปากขอชุกชุม นอกจากให้ยาบำรุงโลหิตแล้ว ควรให้ยาฆ่าพยาธิปากขอร่วมด้วย

2. ผู้ที่สงสัยว่าเป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ให้ยาบำรุงโลหิตแล้วไม่ทุเลา ควรตรวจหาว่ามีสาเหตุจากอะไร รวมทั้งการตรวจอุจจาระดูว่าเป็นโรคพยาธิปากขอหรือไม่

7
เครื่องมือจัดฟันเด็ก ภายนอกปาก ทำงานอย่างไร

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ใช้แก้ไขปัญหาฟันในเด็ก ซึ่งโดยปกติแล้ว เด็กจะมีโอกาสฟันผุได้มาก เนื่องจากเด้กชอบรับประทานอาหารที่มีความหวาน เช่น ขนม ลูกอม หรือน้ำหวาน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุในเด็ก ยิ่งถ้าเด็กไม่ใส่ใจในเรื่องของการความสะอาดช่องปากและฟัน ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้ง่าย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กๆให้มาก ควรปลูกฝังให้เด็กรู้จักรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ป้องกันการเกิดปัญหาฟันผุ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับช่องปาก


นอกจากนี้ เด็กที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น ชอบดูดขวดนม ชอบดูนิ้ว ก็มีผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคตได้ เพราะการที่เด็กมรพฤติกรรมดูดนิ้ว อาจจะส่งผลต่อรูปร่างของฟันได้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่หมั่นสังเกตพฤติกรรมและหาวิธีทางแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวของลูก สำหรับการเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น เด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่ อายุ 4 ปี โดยไม่รอให้ฟันน้ำนมหลุดออกหมด ถ้าเป้นเด็กในวัย 4 ปี หรืออยู่ในช่วงที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ไม่ดีนัก จะใช้วิธีการจัดฟันในเด็ก โดยใช้เครื่องมือ EF Line ในการรักษา เครื่องมือ EF Line ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาโครงสร้างของใบหน้า ช่วยปรับกล้ามเนื้อทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่สวย และไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ในการจัดฟันในเด็ก ก็ยังมีเครื่องมือภายนอกปาก ซึ่งมีด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ๆ

ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะพามารู้จักกับเครื่องมือการจัดฟันในเด็ก ภายนอกปาก ซึ่งมีด้วยกัน 2 ประเภท และมีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป นั่นก็คือ Headgear เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเด็กที่มีปัญหาขากรรไกรบนยื่นมากผิดปกติ เมื่อเทียบกับขากรรไกรล่าง โดยจะใส่เครื่องมือที่เรียกว่า Headgear ที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของขากรรไกรบน นั่นเอง ต่อมาอีกประเภทหนึ่งก็คือ Protection Face Mask ใช้สำหรับแก้ไขปัญหาขากรรไกรล่างยื่นมากผิดปกติ เมื่อเทียบกับขากรรไกรบน เป็นการดึงขากรรไกรบนมาข้างหน้า และยับยั้งการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่าง โดยเครื่องมือจัดฟันภายนอกปากจะมุ่งเน้นแก้ไขโครงสร้างขากรรไกรของเด็กเป็นหลัก เนื่องจากเด็กจะต้องใส่ในขณะนอนหลับ เฉลี่ยประมาณ12-14 ชั่วโมงต่อคืน


ดังนั้น การใช้เครื่องมือดังกล่าว จึงต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กค่อนข้างมาก แต่หากเป็นเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้จะมุ่งเน้นการแก้ไขการปรับแต่งขากรรไกรบ้างหรือแก้ไขความผิดปกติของฟัน ส่วนการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือแบบถอดได้นั้น จะใช้ในกรณีที่ เด็กมีฟันล่างคร่อมฟันบน แต่ไม่มีปัญหาที่โครงสร้างของใบหน้า ก็จะใส่เครื่องมือถอดได้ในช่องปากเพื่อทำการผลักฟันล่างออกมากรณีที่ฟันบนยื่นมากๆ  จะใส่เครื่องมือที่หน้าตาคล้ายกับรีเทนเนอร์ เพื่อดันฟันหน้าบนให้เคลื่อนที่ไปด้านหลัง และมีตัวระนาบเอียง เพื่อกระตุ้นให้ขากรรไกรล่างมีการเคลื่อนที่มาข้างหน้านั่นเอง

ซึ่งการเลือกใช้เครื่องมือการจัดฟันในเด็ก ทันตแพทย์ก็จะเป้นพิจารณาว่า เด็กมีปัญหาในเรื่องใด และเหมาะสมที่จะใช้เครื่องมือการจัดฟันอย่างไร เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และมีประสิทธิภาพมากทที่สุด เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาวได้ เพื่อให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีบุคลิกภาพที่มั่นใจด้วย ดังนั้น ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กจึงมีความสำคัญมาก อย่าคิดว่าเด็กกำลังมีฟันน้ำนมอยู่ รอให้โตจนฟันแท้ขึ้นครบจึงค่อยมาดูแล เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ เพราะฟันน้ำนมของเด็ก ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้โดยตรง พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลให้มากเป็นพิเศษ

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก และมีประสบการณ์ทางด้านการจัดฟฟันมาอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง ตามหลักวิชาการ เพราะเราอยากพ่อแม่ทุกคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่ลูกจะได้เติบโตไปเป้นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี

8
townhome เดอะ แกรนด์ คาแนล ริมคลองสมถวิล (The Grand Canal)
N/A

เดอะ แกรนด์ คาแนล ริมคลองสมถวิล (The Grand Canal)
แกรนด์คาแนล ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ ริมคลองสมถวิล เฟสใหม่ที่มาพร้อมดีไซด์ ในสไตล์โมเดิร์น ในราคาที่สามารถจับต้องได้ บ้านสวย ฟังชั่นครบ เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก ในชีวิตแบบคนเมือง เลือกใช้วัสดุคุณภาพดี พร้อมให้คุณได้จองแล้ววันนี้ สะดวกต่อการเดินทาง พร้อมความสะดวกสบายใกล้มหาวิทยาลัย ทำเลดี ใจกลางเมือง เพิ่มมูลค่าในการลงทุน มาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                     เดอะ แกรนด์ คาแนล ริมคลองสมถวิล (The Grand Canal)
 เจ้าของโครงการ                ดีเฮ้าส์พัฒนา
 ราคา                             N/A
 ประเภทบ้าน                    ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome), โฮมออฟฟิศ
 ลักษณะทำเล                   บ้านลักษณะทำเลอื่น, บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ                  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน                     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด                1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน                     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย                    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น                       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง                       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         เมืองมหาสารคาม
 ที่ตั้ง         ถ.ริมคลองสมถวิล ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม

 ขนส่งสาธารณะ                 ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนริมคลองสมถวิล)
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ                     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

9
Doctor At Home: ปากนกกระจอก (Angular Cheilitis)

ปากนกกระจอก (Angular Cheilitis) คือ ภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นตรงมุมปาก โดยจะเกิดอาการเจ็บปาก ปากแห้งและแตก เป็นแผล อาจมีรอยแดง บวม และตึงที่มุมปากข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการของโรคนี้เพียง  2-3 วัน หรือนานกว่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดปากนกกระจอก


อาการของปากนกกระจอก

ผู้ป่วยปากนกกระจอกมักเกิดอาการระคายเคือง เจ็บปากและปวดแสบปวดร้อนตรงมุมปาก ซึ่งอาจเกิดอาการดังกล่าวที่มุมปากข้างเดียวหรีอทั้ง 2 ข้างก็ได้ ทั้งนี้ บริเวณมุมปากที่เป็นอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้

    มีรอยแดงและเลือดออก
    เกิดตุ่มพองขึ้นมา เป็นแผล มีของเหลวไหลเยิ้มออกมา หรือเกิดสะเก็ดแผลที่มุมปาก
    ปากลอก รวมทั้งแห้งและแตก โดยปากอาจตึง ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายปาก
    รู้สึกคันระคายเคืองตรงมุมปากที่เป็น ทำให้ผู้ป่วยอาจรับประทานอาหารลำบากในกรณีที่เกิดอาการดังกล่าวอย่างรุนแรง อาจส่งผลให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือน้ำหนักตัวลดลง
    เกิดอาการบวมบริเวณนั้น

ทั้งนี้ ผู้ป่วยปากนกกระจอกสามารถเกิดการติดเชื้อราที่ผิวหนัง หรือเกิดแผลติดเชื้อแบคทีเรียลามไปยังผิวหนังรอบ ๆ บริเวณที่เกิดโรคปากนกกระจอกได้

สาเหตุของปากนกกระจอก

โรคปากนกกระจอกส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ซึ่งถือเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคนี้คือเชื้อแคนดิดา (Candida) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคผื่นผ้าอ้อมในเด็กทารก นอกจากนี้ โรคปากนกกระจอกยังเกิดจากสาเหตุอื่นได้ ดังนี้

    น้ำลายจากการเลียปาก เนื่องจากน้ำลายจะหมักหมมอยู่บริเวณมุมปาก ทำให้ปากแห้งและแตก เมื่อเลียมุมปากที่แห้ง จะทำให้เชื้อราตรงแผลที่มีอยู่ก่อนแล้วเจริญและแบ่งเซลล์มากขึ้น จนนำไปสู่การติดเชื้อได้ โดยผู้ป่วยอาจเกิดการอักเสบที่ริมฝีปาก หรือเกิดผื่นแพ้จากการระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis) ร่วมด้วยได้
    มุมปากตก เนื่องจากริมฝีปากบนคร่อมริมฝีปากล่างมากเกินไป ผิวหนังรอบปากห้อยลงมา เนื่องจากอายุมากขึ้นหรือน้ำหนักลดลง ทำให้รอยย่นที่มุมปากลึกมาก
    เกิดการติดเชื้อที่ปาก ผู้ป่วยอาจติดเชื้อต่าง ๆ ที่ปาก โดยเชื้อนั้นได้ลุกลามขึ้น เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราจากโรคเชื้อราในช่องปาก หรือเชื้อไวรัสจากโรคเริมที่ริมฝีปาก
    ปากแห้งแตก

นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เสี่ยงเป็นโรคปากนกกระจอกได้สูง โดยปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคนี้ประกอบด้วย

    มีเชื้อราในช่องปาก โดยมักเกิดกับเด็กทารกหรือผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือใช้ยาปฏิชีวนะ
    ต้องใส่ฟันปลอม เนื่องจากการใส่ฟันปลอมนั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาเหงือกร่น โดยเฉพาะฟันปลอมที่ไม่พอดีกับขนาดของช่องปาก
    ได้รับการจัดฟัน เนื่องจากต้องใส่ยางสำหรับจัดฟัน ส่งผลให้มีน้ำลายล้นออกมาหมักหมมอยู่ที่มุมปากได้
    ป่วยเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร (Inflammatory Bowel Disease: IBD) เช่น ลำไส้อักเสบ หรือโรคโครห์น (Crohn Disease)
    ผิวแพ้ง่าย เช่น ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)
    ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น รับประทานอาหารที่มีวิตามินบีหรือธาตุเหล็กน้อยเกินไป
    ป่วยเป็นโรคที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome)
    รับประทานยาเรตินอยด์ เช่น รับประทายาไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) เพื่อรักษาสิว หรือรับประทานยาอะซิเทรติน เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงิน
    ป่วยเป็นโรคอื่น ๆ เช่น ภาวะโลหิตจาง มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดหรือมะเร็งที่ไต ตับ ปอด หรือตับอ่อน รวมทั้งติดเชื้อเอชไอวีและโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันร่างกาย

การวินิจฉัยปากนกกระจอก

ผู้ป่วยโรคปากนกกระจอกจะได้รับการตรวจจากแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคดังกล่าว โดยแพทย์จะตรวจปากของผู้ป่วย เพื่อดูว่ามีสะเก็ด รอยแดง อาการบวม หรือตุ่มพองที่ปากหรือไม่ รวมทั้งสอบถามอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วยที่ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและป่วยเป็นโรคปากนกกระจอกได้

อย่างไรก็ตาม อาการอักเสบที่มุมปากอาจไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อจากโรคปากนกกระจอกเท่านั้น แต่อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคเริมที่ริมฝีปาก หรือโรคไลเคนพลานัส (Lichen Planus) แพทย์จึงอาจเก็บตัวอย่างของเชื้อจากมุมปากและจมูกของผู้ป่วยและนำส่งตรวจที่ห้องทดลอง เพื่อดูว่าอาการป่วยเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราชนิดใด โดยหากเป็นปากนกกระจอก ผลการตรวจตัวอย่างสารคัดหลั่งมักแสดงผลว่าผู้ป่วยติดเชื้อราแคนดิดา เชื้อสเตปฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) หรือเชื้อไวรัสโรคเริม (Herpes Simplex)

 
การรักษาปากนกกระจอก

โรคปากนกกระจอกสามารถรักษาได้ โดยแพทย์จะรักษาบริเวณที่ติดเชื้อของโรค รวมทั้งดูแลบริเวณที่แห้งและแตกไม่ให้กลับมาติดเชื้ออีก ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะได้รับยาเพื่อรักษาอาการตามประเภทของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าว ซึ่งได้แก่ การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา การรักษาด้วยยาต้านแบคทีเรีย และการดูแลรักษาอื่น ๆ ดังนี้

    การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา ผู้ป่วยปากนกกระจอกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อรา จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
        ไมโคนาโซล (Miconazole) ยานี้ใช้รักษาเชื้อราแคนดิดาและเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก (Gram-Positive Cocci) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยควรทาครีมไมโคนาโซลตรงมุมปากที่เกิดการติดเชื้อวันละ 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ไม่ควรใช้ยานี้ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการต้านฤทธิ์กันอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีเลือดออกมาก
        ไนสแตนดิน (Nystatin) ผู้ป่วยจะรับประทานยานี้เพื่อรักษาการติดเชื้อราที่ปากหรือโรคเชื้อราในช่องปากหรือในทางเดินอาหาร โดยแพทย์จะให้ใช้ยาวันละ 4 ครั้ง อมไว้ปากให้นานก่อนกลืนลงไป ทารกควรงดน้ำและอาหารเป็นเวลา 5-10 นาทีหลังจากใช้ยานี้ ทั้งนี้ ตัวยาจะไม่ซึมเข้ากระแสเลือด
        โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ยานี้ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับเชื้อรา ได้แก่ น้ำกัดเท้า ติดเชื้อราที่ขาหนีบ และกลาก โดยตัวยาจะส่งผลต่อเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อราให้สลายลง ส่งผลให้เชื้อราตายได้
        คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) มีสรรพคุณขัดขวางการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อรา อย่างไรก็ตาม แพทย์จะใช้ยาคีโตโคนาโซลรักษาผู้ป่วยในกรณีที่ตัวยาอื่นไม่สามารถรักษาอาการป่วยให้ทุเลาลง ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาดังกล่าว ทั้งนี้ คีโตโคนาโซลอาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตับได้

    การรักษาด้วยยาต้านแบคทีเรีย ผู้ป่วยที่เป็นโรคปากนกกระจอกซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย จะได้รับยาต้านเชื้อดังกล่าว โดยจะยกยาต้านแบคทีเรียที่ใช้รักษาปากนกกระจอกมาบางตัว ดังนี้
        มิวพิโรซิน (Mupirocin) ยานี้ใช้รักษาการติดเชื้อที่ผิวหนัง โดยตัวยายับยั้งการผลิตโปรตีนที่ใช้เลี้ยงแบคทีเรียบนผิวหนัง ผู้ป่วยโรคปากนกกระจอกที่ติดเชื้อจากโรคพุพอง
        กรดฟูซิดิก (Fusidic Acid) ชนิดครีมหรือขี้ผึ้ง เป็นยาต้านแบคทีเรียชนิดทาภายนอกที่รักษาการติดเชื้อผิวหนัง โดยอาจใช้รักษาเชื้อสแตปฟิโลค็อกคัส ออเรียส และเชื้อโครีนแบคทีเรียม (Corynebacterium) ยานี้ใช้รักษาโรคผิวหนังหลายโรค เช่น โรคพุพอง รูขุมขนอักเสบ ผู้ป่วยปากนกกระจอกที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ควรทายาที่ผสมกรดฟูซิดิกตรงบริเวณที่ติดเชื้อตามแพทย์สั่ง

    การดูแลรักษาอื่น ๆ ผู้ป่วยปากนกกระจอกสามารถดูแลอาการของโรคด้วยยาหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้ ดังนี้
        น้ำยาฆ่าเชื้อ (Antiseptics) คือสารที่ใช้ยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ภายนอกร่างกาย และป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ แพทย์อาจจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างแผลบริเวณที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือกที่ได้รับความเสียหาย เพื่อทำความสะอาดและลดการติดเชื้อ
        ยาสเตียรอยด์ชนิดทา ยานี้ถือเป็นยาที่ใช้ต้านอาการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งใช้ยับยั้งอาการของโรคผิวหนังอักเสบและปัญหาอื่นเกี่ยวกับผิวหนัง มีทั้งแบบครีม ขี้ผึ้ง และแบบอื่น ๆ ยาสเตียรอยด์ชนิดทาจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย ได้แก่ ต้านอาการอักเสบ กดภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจจะได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยา โดยอาจเกิดกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing Syndrome) หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงกับผิวหนังในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแตกลาย มีเลือดออกและผิวหนังฉีกได้ง่าย หลอดเลือดขยายใหญ่ขึ้น
        ผลิตภัณฑ์บำรุงความชุ่มชื้น ผู้ป่วยปากนกกระจอกที่ไม่ได้ติดเชื้อจากเชื้อราหรือแบคทีเรีย จะได้รับผลิตภัณฑ์ทาปากเพื่อบำรุงความชุ่มชื้นให้ผิว โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีหลายลักษณะ ได้แก่ น้ำมัน โลชั่น ครีม และขี้ผึ้ง ผลิตภัณฑ์บำรุงความชุ่มชื้นจะช่วยบรรเทาอาการปากแห้งแตกและรักษาอาการระคายเคืองผิวหนัง
        อาหารเสริมอื่น ๆ ผู้ป่วยปากนกกระจอกที่ป่วยจากการขาดสารอาหาร โรคแพ้กลูเตน ขาดธาตุเหล็ก หรือขาดวิตามินบี 2 ควรรับประทานอาหารเสริมหรือวิตามินเสริม เพื่อช่วยบำรุงสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายให้เพียงพอ


การป้องกันปากนกกระจอก

โรคปากนกกระจอกสามารถป้องกันได้ โดยเริ่มจากการดูแลตัวเองไม่ให้มีปัญหาสุขภาพที่เสี่ยงเป็นโรคดังกล่าว ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้

    ไม่ควรกัดหรือเลียริมฝีปากเมื่อปากแห้งหรือแตก เนื่องจากการกัดปากจะทำให้เลือดออกและแผลหายได้ช้า ทั้งนี้ น้ำลายที่เลียริมฝีปากจะล้างความชุ่มชื้นของผิวหนังออกไป ส่งผลให้ปากแห้งกว่าเดิม
    ควรทาลิปบาล์มที่ผสมเจลหรือขี้ผึ้งเป็นประจำเมื่อเกิดอาการปากแห้ง โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
    ผู้ที่ใส่ฟันปลอมควรหมั่นดูแลความสะอาดของฟันปลอมอยู่เสมอ รวมทั้งไม่ใส่ฟันปลอมขณะนอนหลับ
    ผู้ป่วยโรคเชื้อราในช่องปากที่มีปัญหาสุขภาพอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคดังกล่าว เช่น ป่วยเป็นเบาหวาน ควรรักษาความสะอาดช่องปากและรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้อาการของโรคแย่ลง
    งดสูบบุหรี่

10
ข้อดี ข้อเสีย ของผ้ากันไฟ

ผ้ากันไฟ หรือ Welding Blanket, Fire Blanket เป็นวัสดุที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อทนทานต่อความร้อนสูง เปลวไฟ และสะเก็ดไฟ มักใช้ในงานอุตสาหกรรม งานก่อสร้าง หรือเป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินสำหรับดับไฟขนาดเล็ก มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา:

ข้อดีของผ้ากันไฟ

ทนทานต่อความร้อนและเปลวไฟสูง:

เป็นคุณสมบัติหลัก ผ้ากันไฟผลิตจากเส้นใยพิเศษ เช่น ใยแก้ว (Fiberglass), ซิลิก้า (Silica), ใยเซรามิก (Ceramic Fiber) หรือใยอะรามิด (Aramid Fiber) ซึ่งสามารถทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 260°C ไปจนถึง 1,600°C หรือสูงกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดและเกรดของผ้า
ไม่ลุกติดไฟ ไม่ลามไฟ: เมื่อสัมผัสกับเปลวไฟหรือความร้อนสูง ผ้าจะไม่ติดไฟหรือช่วยชะลอการลุกไหม้ ทำให้เป็นเกราะป้องกันที่ดี

ป้องกันสะเก็ดไฟและประกายไฟ:

เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในงานเชื่อม ตัดโลหะ หรือเจียร ที่มีสะเก็ดไฟและประกายไฟกระเด็น ผ้ากันไฟจะช่วยป้องกันไม่ให้สะเก็ดไฟเหล่านี้ไปตกใส่พื้นผิว อุปกรณ์ หรือวัสดุไวไฟใกล้เคียง ซึ่งอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้หรือความเสียหายได้


ลดความเสี่ยงจากอัคคีภัย:

ช่วยป้องกันการลุกลามของไฟไปยังพื้นที่อื่น ๆ หรือใช้เป็นผ้าห่มดับไฟ (Fire Blanket) สำหรับคลุมไฟขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นเพื่อตัดออกซิเจนไม่ให้ไฟลุกต่อ
เป็นฉนวนกันความร้อน:

นอกจากจะกันไฟได้แล้ว ผ้ากันไฟหลายชนิดยังมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี สามารถใช้เป็นม่านกั้นความร้อนในไลน์ผลิต หรือหุ้มท่อ/วาล์วที่มีความร้อนสูง เพื่อลดการแผ่รังสีความร้อนและลดอุณหภูมิในพื้นที่นั้นๆ


ทนทานต่อการฉีกขาดและสึกหรอ:

เส้นใยที่ใช้ผลิตผ้ากันไฟมักมีความแข็งแรงสูง ทำให้ผ้ามีความทนทานต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน ทนต่อการเสียดสีได้ดีในบางชนิด


ปลอดภัย ไม่มีใยหิน (Non-Asbestos):

ผ้ากันไฟที่ผลิตในปัจจุบันส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน (Asbestos) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม


ลดควันและก๊าซพิษ:

ผ้ากันไฟคุณภาพดีจะถูกออกแบบมาให้ไม่สร้างควันหรือก๊าซพิษในปริมาณมากเมื่อสัมผัสกับความร้อนสูง ซึ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง


ยืดหยุ่นและใช้งานง่าย:

สามารถตัดเย็บและปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการคลุม การกั้น การห่อหุ้ม หรือแม้กระทั่งใช้เป็นชุดป้องกันส่วนบุคคลในบางกรณี


ข้อเสียของผ้ากันไฟ

การระคายเคือง (สำหรับบางชนิด):

ผ้ากันไฟบางชนิด โดยเฉพาะผ้าใยแก้วที่ไม่ได้ผ่านการเคลือบสารพิเศษ อาจทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคืองผิวหนัง หรือระคายเคืองระบบทางเดินหายใจจากละอองเส้นใยเล็กๆ ขณะใช้งานหรือติดตั้ง (ปัจจุบันมีชนิดที่เคลือบซิลิโคนเพื่อลดอาการคัน)


ราคา:

ผ้ากันไฟคุณภาพสูงที่ทนอุณหภูมิได้ดีเยี่ยม หรือมีคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ (เช่น ไม่คัน, ทนทานต่อการเสียดสี) มักจะมีราคาสูงกว่าผ้าทั่วไป


อายุการใช้งานจำกัด:

แม้จะทนทาน แต่ผ้ากันไฟก็มีอายุการใช้งาน ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานและการเก็บรักษา โดยเฉลี่ยอาจอยู่ที่ 2 ปีสำหรับการใช้งานในร่ม และ 6-12 เดือนสำหรับงานกลางแจ้งที่โดนแดดและฝนตลอดเวลา หากมีการใช้งานผิดวิธี เช่น ลากถู กระชาก หรือโดนของมีคม ก็อาจฉีกขาดหรือเสียหายได้เร็วกว่ากำหนด


ประสิทธิภาพลดลงหากเสียหาย:

หากผ้ามีการฉีกขาด ถูกเจาะ หรือมีรอยเสียหาย คุณสมบัติการกันไฟและกันความร้อนอาจลดลง ทำให้ไม่สามารถป้องกันได้อย่างเต็มที่


อาจมีควันหรือก๊าซพิษ (สำหรับบางชนิดที่เคลือบสาร):

ผ้ากันไฟบางประเภทที่ผ่านการเคลือบสารกันไฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อาจมีการปลดปล่อยควันหรือก๊าซบางชนิดเมื่อถูกความร้อนสูงมาก ซึ่งควรตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของสารเคลือบนั้นๆ


น้ำหนักและขนาด:

ผ้ากันไฟที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความหนามาก อาจมีน้ำหนักมากและเทอะทะ ทำให้ยากต่อการเคลื่อนย้ายหรือติดตั้งในบางพื้นที่
โดยรวมแล้ว ผ้ากันไฟเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงหรือความเสี่ยงจากอัคคีภัย การเลือกใช้ผ้ากันไฟที่เหมาะสมกับประเภทของงานและงบประมาณ รวมถึงการใช้งานและบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยลดข้อเสียและเพิ่มประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน.

11
เครื่องมือการจัดฟัน EF LINE ต่างจากการเครื่องมือการจัดฟันเด็กแบบเหล็กจัดฟันอย่างไร

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันที่มความผิดปกติในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเด็กไทยส่วนใหญ่มีการเกิดฟันผุมาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ผู้ปกครอง และพฤติกรรมในวัยเด็กที่อาจจะมีเข้าข่ายมีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันในอนาคต ซึ่งในความเป็นจริง การเกิดความผิดปกติของการสบฟันที่เกิดกับเด็ก ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตามก็สามารถเกิดได้ทั้งนั้น  ดังนั้น เด็กควรที่จะได้รับการตรวจและรักษาโดยทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ดีกว่าเป็นวัยรุ่น ซึ่งเด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี หรือในวัยที่กำลังมีฟันแท้งอกออกมา แต่โดยทั่วไป


การจัดฟันในเด็กอายุต่ำว่า 10 ปี มักเป็นการจัดฟันบางส่วน จุดประสงค์ก็เพื่อการรักษาเฉพาะบริเวณ เพื่อป้องกันเบื้องต้น หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ซึ่งเมื่อเด็กโตพอ ก็มักจะต้องจัดฟันทั้งปากต่อไป หรือเหมาะสำหรับการจัดฟันแบบใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะเนื่องจากเด็กบางคนในวัยนี้ ยังไม่สามารถดูแลตัวเองในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจจะยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์จัดฟันได้ดีเท่าที่ควร


จึงเหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันด้วยการใช้เครื่องมือ EF LINE พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก แบบ EF LINE ว่าจะมีความแตกต่างกับการจัดฟันในเด็กที่สวมใส่เครืองมือแบบติดแน่น ดังนั้น วันนี้ทางคลินิก ของเราจะมาพูดถึงข้อแตกต่างของการจัดฟันในเด้กแบบ EF LINE และการจัดฟันในเด็กแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป้นแนวทางในการจัดสินใจพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อแก้ไขปัญหาฟัน
 
ในปัจจุบันได้มีการศึกษาในเรื่องของทันตกรรมในเด็ก ซึ่งพบว่า กล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น จึงมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง โดยเครื่องมือดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า EF LINE ซึ่งเครื่องมือดังกล่าว เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ


ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต  โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนถึงอายุ 15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างจากการจัดฟันในเด็กที่ใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ก็คือ การจัดฟันในเด็กแบบใส่เหล็กจัดฟันนั้น ก็เหมือนกับการจัดฟันในวัยผู้ใหญ่ เพราะใช้เครื่องมือแบบเดียวกัน และมีการดูแลรักษาที่เหมือนกัน เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป เพราะเด็กในวัยนี้ จะสามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ดีกว่า และจะต้องมีวิธีการดูแลรักษาที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้น เครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่น จึงไม่เหมาะสมกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี เพราะยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้นั่นเอง


สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก รวมไปถึงด้านทันตกรรมในเด็กในด้านอื่นๆด้วย จากประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรมทำให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

12
คอนโดติดรถไฟฟ้า เดอะ สเตจ เมดบายมี รัชดา-ห้วยขวาง (THE STAGE made by me Ratchada-Huaikhwang)
เริ่มต้น 2.89 ลบ. 

เดอะ สเตจ เมดบายมี รัชดา-ห้วยขวาง (THE STAGE made by me Ratchada-Huaikhwang)
คอนโดใกล้ MRT ห้วยขวาง เพียง 300 เมตร ใจกลางรัชดา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              เดอะ สเตจ เมดบายมี รัชดา-ห้วยขวาง (THE STAGE made by me Ratchada-Huaikhwang)
 เจ้าของโครงการ         เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย               เดอะ สเตจ
 ราคา                       เริ่มต้น 2.89 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี            1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี             ตั้งแต่ 26.00 ถึง 52.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด              2 ไร่ 1 งาน 62 ตร.ว.
 จำนวนตึก                 1 อาคาร
 จำนวนชั้น                  31 ชั้น
 จำนวนห้อง                454 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค          สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (Sky Deck, Sky Balcony, Medical Corner, Smart Locker), สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             รัชดา, ห้วยขวาง, พระราม 9, เพชรบุรี
 ที่ตั้ง             ถนน ประชาราษฎร์บำเพ็ญ ซอย 6/1 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:               ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานีบางซื่อ - หัวลำโพง(ห้วยขวาง)


 สถานที่สำคัญใกล้เคียง

ศูนย์การค้า

The Street รัชดา : 1.4 กม.
Big C Extra รัชดา : 1.5 กม.
Esplanade รัชดา : 1.9 กม.
บุญถาวร รัชดา : 2.1 กม.
Makro Food Service เหม่งจ๋าย : 2.2 กม.
Central พระราม 9 : 2.7 กม.
Fortune Town, Lotus’s, Decathlon : 2.9 กม.
Singha Complex : 3.9 กม.
Show DC : 4.7 กม.
Union Mall : 5 กม.
Central ลาดพร้าว : 5.6 กม.

สถานศึกษา

รร.สามเสนนอกประชาราษฎร์อนุกูล : 800 ม.
รร.เตรียมอุดมน้อมเกล้ากุนนที : 800 ม.
รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา : 1 กม.
รร.จันทร์หุ่นบำเพ็ญ : 1.1 กม.
รร.ประชาราษฎร์บำเพ็ญ : 1.2 กม.
Regent’s International College (RIC) : 1.5 กม.
รร.บางกอกทวิวิทย์ (BBS) : 1.6 กม.
ม.หอการค้าไทย (UTCC) : 1.7 กม.
Prep Montessori International Kindergarten : 1.9 กม.
KIS International School : 2.3 กม.
Regent’s International School Bangkok : 3 กม.
ม.ราชมงคลตะวันออกฯ วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ (RMUTTO) : 3.2 กม.
รร.สุรศักดิ์มนตรี : 3.5 กม.
รร.บีคอนเฮาส์แย้มสอาด ลาดพร้าว (BYS) : 3.9 กม.
Singapore International School of Bangkok (SISB Pracha Uthit) : 3.9 กม.
Lycée Français International de Bangkok (LFIB) : 3.9 กม.
Thai-Japanese Association School (TJAS) : 4 กม.
มศว. (SWU) : 4.4 กม.

ศูนย์การแพทย์

คลินิกทันตกรรมฯ, คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา : 3.7 กม.
รพ.พระราม 9 : 4.1 กม.
รพ.ปิยะเวท : 5.2 กม.
รพ.กรุงเทพ : 6.4 กม.
รพ.เปาโล โชคชัย 4 : 6.7 กม.

13
ซ่อมบำรุงอาคาร: การวางท่อระบายน้ำในบ้านที่ถูกวิธี ต้องคำนึงถึงสิ่งใด

เวลาเราจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโด สิ่งที่เราจะต้องนึกถึงคือระบบการจัดการทรัพยากรที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการจัดการน้ำ ระบบสุขาภิบาล หรือระบบเตือนภัยต่างๆ เพราะมันมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เพราะในแต่ละวันเราจะต้องมีการใช้น้ำ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญไม่น้อย ดังนั้น สถานที่ที่เราพักอาศัยจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำเหล่านั้น ซึ่งการจัดการน้ำนั้น เรียกว่าระบบสุขาภิบาล โดยการวางแผนจัดการระบบท่อสุขาภิบาล จำเป็นต้องมีวิศวกรออกแบบ กำหนดตำแหน่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการใช้งานและง่ายต่อการบำรุงรักษาเมื่อเกิดปัญหารั่วซึม

ส่วนใหญ่แล้วการรั่วซึมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มากจากท่อระบายน้ำ ที่อาจจะมีปัญหาทำให้เกิดการรั่วซึม ยิ่งถ้าหากเกิดขึ้นในคอนโดที่มีผู้พักอาศัยเป็นจำนวนมาก อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของร่วมได้ หรือถ้าหากใครที่มีบ้าน การวางท่อระบายน้ำก็มีความสำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อผู้อื่นเท่าไหร่นัก แต่ก็สร้างปัญหาให้กับผู้อยู่อาศัยไม่มากก็น้อย และยังส่งผลเสียต่อโครงสร้างบ้านของเรา ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงหลักการวางท่อระบายน้ำที่ดี ว่าเราจะต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้ใครหลายๆคนที่ติดจะสร้างบ้าน เพื่อช่วยลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาวได้ และอาจจะต้องมนั่งเสียเวลาซ่อมบ้าน เสียเงินไม่รู้จบ

ต้องบอกเลยว่า ปัญหาน้ำรั่วซึมภายในบ้าน นอกจากเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นเพราะโครงสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐาน หรือเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำรั่วซึมก็คือ การวางระบบท่อน้ำภายในบ้านที่ไม่ถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมภายในบ้าน อันดับแรกเราควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการติดตั้งระบบท่อประปาที่ได้มาตรฐาน รวมถึงศึกษาข้อมูลเบื้องตันเกี่ยวกับชนิดของท่อประปา รวมถึงมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อป้องกันไม่ให้การเปิดปัญหาน้ำรั่วซึม โดยเราจะต้องคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ควรเลือกซื้อท่อระบายที่วัสดุมีคุณภาพ และตรงตามมาตรฐานที่กำหนด


อีกทั้งเป็นท่อใหม่ ไม่มีรอยแตก หรือสีหมอง ที่สำคัญด้านบนท่อควรมีการประทับข้อความระบุยี่ห้อเป็นระยะๆ หรือมีชื่อของบริษัทที่ผลิต มีตัวเลขบอกถึงความหนาของตัวท่อ รวมถึงบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง และมีเครื่องหมายการรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรเลือกใช้ท่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ท่อน้ำดี และท่อน้ำทิ้ง สามารถใช้ท่อ PVC แบบปกติได้ เนื่องจากเป็นมีอุณหภูมิน้ำปกติ แต่หากเป็นท่อน้ำร้อนให้เลือกใช้ท่อทองแดง หากต้องการให้สามารถใช้ทางทั้งน้ำเย็น และน้ำร้อน แนะนำให้เลือกใช้ท่อที่ต้องรับแรงดันมาก ต้องใช้ท่อเหล็กที่มีความแข็งแรงทนทาน ส่วนท่อน้ำร้อนที่เชื่อมต่อระหว่างตัวเครื่องทำน้ำร้อนกับวาล์วควบคุมการเปิด-ปิดน้ำร้อน ที่อยู่บริเวณด้านล่างอ่างอาบน้ำแนะนำใช้ท่อเหล็ก หลีกเลี่ยงการใช้ท่อ PVC เพราะความร้อนอาจทำให้ท่อ PVC ละลายได้ และควรเลือกใช้ขนาดท่อให้เหมาะสมด้วย อย่างไรก็ตาม 


เราควรจะศึกษารายละเอียด และต้องหาช่างที่มีความเชี่ยวชาญ มีความน่าเชื่อถือ เข้ามาสร้างบ้านให้กับเรา เพื่อที่เราจะได้บ้านที่มาตรฐาน และไม่ต้องมากังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง เพราะแน่นอนว่า เวลาที่เราสร้างบ้านใหม่นั้น คงไม่อยากมีใครเจอปัญหาจุกจิก เพราะเมื่อเราเสียเงินในการสร้างบ้านแล้ว คงไม่อยากที่จะต้องเสียเวลาหาเงินมาซ่อมบ้านในภายหลัง


หากมีข้อสงสัยหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับระบบน้ำภายในบ้าน หรืออยากปรึกษาเรื่องของการบำรุงรักษาระบบน้ำภายในบ้าน สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและติดตั้ง ระบบปั๊ม ระบบสุขาภิบาล ภายในบ้านเรือนหรืออาคาร เรามีทีมช่างเฉพาะทางที่พร้อมจะเข้าไปดูแล ในส่วนของการจัดการระบบน้ำประปาและระบบสุขาภิบาลได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการและแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการบำรุงรักษาที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้สามารถใช้น้ำได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล และดีต่อสุขอนามัย ช่วยให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้พักอาศัย

14
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


15
ปล่อยรถไมล์น้อย Porsche 911 Turbo S (992)  ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

ปอร์เช่ Porsche 911 Turbo S ปี 2019
Porsche 911 Turbo S รุ่นตกแต่งพิเศาสไตล์รถแข่ง ตำนานแห่งความภาคภูมิใจ ด้วยแบบตัวถังเปิดหลังคา พร้อมกับการดีไซน์ที่ลงตัวทั้งรถและอุปกณ์พิเศษ เฉพาะรุ่น Speedster เท่านั้น

เครื่องยนต์เบนซิน 3,745 ซีซี ระบบวาล์วแปรผัน VarioCam ประสิทธิภาพสูงสามารถใช้งานได้ถึง 7,200 รอบ/นาที กำลังสูงสุด 650 แรงม้า ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,500 - 4,000 รอบ/นาที  ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม PDK 8 จังหวะ อัตรเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. เบรกหน้าขนาดใหญ่ 420 มม. และหลังขนาด 390 มม.

ระบบความบันเทิงครบครันด้วยจอสัมผัสขนาด 10.9 นิ้ว เล่นได้ทั้ง DVD/MP3/Tuner และเชื่อมต่อ USB/Bluetooth/AUX

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 17 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
ประกันชั้น 1 (เพิ่งต่อ ธันวาคม 2567)

ราคาพิเศษ 21,500,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                         เครื่องยนต์ 6 สูบนอน 3,745 ซีซี 24 วาล์ว VarioCam 650 แรงม้า ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร
ขนาดเครื่องยนต์ (CC)           3,745 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)        650 แรงม้า
ระบบเกียร์                          เกียร์ออโต้ 8AT
รูปแบบเกียร์                          PDK
ระบบเบรค ABS
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง           เบนซิน 95
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)            N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน                   หัวฉีดอีเล็คทรอนิกส์
น้ำหนักตัวรถ                        -
ประเภทยางรถยนต์                    -
ขนาดล้อ (นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                       ขับเคลื่อนล้อหลัง


หน้า: [1] 2 3 ... 64