เชื่อว่าการมี บ้าน เป็นของตัวเองคือความฝันสูงสุดของหลายคน เพราะการมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นมีข้อดีกว่าการเช่าบ้านอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง คุ้มค่ามากกว่าเช่าบ้าน ต่อเติมและตกแต่งได้ตามชอบใจอย่างไม่มีข้อจำกัดและไม่ต้องขออนุญาตใครแต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกฎหมาย สุดท้าย บ้าน ยังเป็นทรัพย์สินที่แปรสภาพเป็นเงินได้ยามจำเป็น ราคาบ้านนับวันมีแต่ขึ้น ไม่มีลด สามารถเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตามการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ที่ค่อนข้างมีราคาอย่างบ้าน ทำให้บางคนต้องใช้เวลาตัดสินใจค่อนข้างนาน กว่าจะเก็บเงินดาวน์จนครบก็ต้องใช้เวลานานหลายปี แถมยังต้องวางแผนการเงินเพื่อนำไปผ่อนชำระในแต่ละเดือนอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การซื้อบ้านกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลายคน เพราะหากตัดสินใจผิดพลาดก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีกและต้องอยู่กับบ้านหลังนั้นไปอีกหลายปี ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับดี ๆ ในการเลือกซื้อบ้านมาฝาก รับรองว่าหากนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ในการเลือกบ้าน คุณจะได้ บ้านเดี่ยว ที่คุณถูกใจแน่นอน
1.สำรวจความต้องการของตัวเองและงบประมาณ
เคล็ดลับที่ 1ในการเลือกซื้อบ้านคือ ต้องสำรวจความต้องการของตัวเองและงบประมาณที่สามารถซื้อได้ก่อน เพราะในปัจจุบันบ้านนั้นมีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งแต่ละประเภทก็มีข้อแตกต่างกันอยู่หลายอย่าง ทั้งเรื่องราคา เนื้อที่ใช้สอย และรูปแบบของบ้าน ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้งานและจำนวนของสมาชิกเป็นหลัก เช่น หากเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลายเจเนเรชั่น บ้านเดี่ยว ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากๆ ก็ถือว่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้มากกว่า ทาวน์โฮม ที่มีพื้นที่น้อยกว่ามาก แต่ถ้าหากต้องการใช้บ้านเพื่อเป็นสถานที่ทำงานด้วยแนะนำว่าให้เลือกเป็น โฮมออฟฟิศ ที่ใช้งานได้หลากหลายและส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลการค้า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยแบบไหน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคืองบประมาณที่ตั้งไว้ สำหรับคนที่มีงบมากก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ อยากได้ บ้านหรู แค่ไหนก็สามารถเลือกซื้อได้ แต่สำหรับคนมีน้อยหรือต้องกู้เงินจากธนาคาร แนะนำว่าไม่ควรซื้อบ้านที่มีราคาสูงจนเกินกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานออฟฟิศที่เพิ่งเริ่มทำงานได้เพียง 2-3 ปี อาจเลือกเป็น คอนโด หรือบ้านขนาดเล็กที่มีราคาไม่สูงมากนักแทน ซึ่งจำนวนเงินค่าผ่อนชำระควรอยู่ในอัตรา 25% ของรายได้ แต่ไม่ควรเกิน 35% ต่อเดือน เพราะจะทำให้รับภาระมากเกินไปจนกลายเป็นปัญหาทางการเงินได้ในอนาคตได้
2.ทำเลดี มีศักยภาพ
เคล็ดลับที่ 2 คือ พิจารณาจากทำเลที่ตั้งก่อนซื้อ บ้าน ที่อยู่ในทำเลที่ดีควรความสะดวกสบายในการเดินทาง อาจขับวนรถดูว่าการจราจรเป็นเช่นไรในช่วงเวลาเร่งด่วน ซึ่งหากไม่มีรถส่วนตัวก็จำเป็นต้องดูว่าระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึงหรือไม่ ที่สำคัญในบริเวณใกล้เคียงควรมีโรงพยาบาล โรงเรียน ตลาด หรือห้างสรรพสินค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น ที่สำคัญคือบ้านต้องอยู่ห่างไกลจากบริเวณที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและทางเสียง เช่น สถานที่ทิ้งขยะ โรงงาน อู่ซ่อมรถ หรือถนนใหญ่ และต้องตรวจสอบด้วยว่าเคยประสบภัยพิภัยน้ำท่วมหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นน้ำท่วมเล็กน้อยก็ตามเพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับทำเลที่ไม่ควรเลือกคือ บ้านที่อยู่ซอยตัน ไม่มีทางออก และไม่มีที่กลับรถ เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น ไฟไหม้หรืออุบัติเหตุฉุกเฉิน อาจสร้างความลำบากในการเข้าออกจากซอยเพื่อจะให้ทันการกับสถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นทางเปลี่ยวหรือไม่ เพราะหากเป็นบ้านมีทางเข้าเปลี่ยว ไม่มีไฟส่องสว่างและไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตอนกลางคืน ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรมได้
3.ความน่าเชื่อถือ
เคล็ดลับที่ 3 คือ พิจารณาจากความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ เพราะโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจซื้อ บ้าน หรือ คอนโด ตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ควรเลือกซื้อกับผู้ประกอบการที่มีน่าเชื่อถือ เพราะผู้ประกอบการที่มีอยู่มานาน มีผลงานมากมาย นอกจากจะมีความน่าไว้วางใจมากกว่าผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายย่อยแล้ว ผู้ซื้อยังต้องมั่นใจได้ว่าโครงการบ้านที่เลือกซื้อมีความมั่นคง เสร็จตรงตามเวลา และแบบบ้านเป็นไปตามมาตรฐานที่เลือกไว้แต่แรกด้วย
4.สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ
โดยส่วนมากโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมักจะมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ทั้งสวนสาธารณะ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ หรือแม้แต่ห้องสมุด ถ้าหากอยากได้ความสะดวกสบายเวลาใช้งานก็ควรเลือกตำแหน่งบ้านที่อยู่ใกล้กับบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน หรือ คอนโด แต่จะมีข้อเสียตรงที่เป็นบริเวณดังกล่าวจะค่อนข้างมีความพลุกพล่าน เสียงดัง และขาดความเป็นส่วนตัวได้
5.พิจารณาจากความปลอดภัย
แน่นอนว่าสิ่งที่โครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมสมควรต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับลูกบ้านก็คือ ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจเช็คการเข้าออกจากคนภายนอกได้ตลอดเวลา รวมทั้งเป็นที่พึ่งสำคัญเมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายด้วย ซึ่งหากเป็นคอนโดมิเนียมก็ควรมีระบบคีย์การ์ดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น
ที่ปรึกษาโครงการ: ข้อควรรู้ก่อน “เลือกซื้อบ้าน” ก่อนซื้อบ้านต้องดูอะไรบ้าง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://realestatebb.com/